รายแรกของโลก! ผู้ป่วยอิตาลี ติดเชื้อฝีดาษลิง-โควิด-HIV พร้อมกัน หลังร่วมรักไม่ป้องกัน

Home » รายแรกของโลก! ผู้ป่วยอิตาลี ติดเชื้อฝีดาษลิง-โควิด-HIV พร้อมกัน หลังร่วมรักไม่ป้องกัน



รายแรกของโลก! วารสารทางการแพทย์เผย ผู้ป่วยอิตาลี ติดเชื้อฝีดาษลิง-โควิด-HIV พร้อมกัน หลังร่วมรักไม่ป้องกัน

ตั้งแต่มกราคมปี 2022 ผู้คนมากกว่า 16,000 คนในกว่า 74 ประเทศได้รับผลกระทบจากโรคฝีดาษลิง กระตุ้นให้องค์การอนามัยโลกประกาศการระบาดครั้งนี้เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขที่น่าเป็นห่วงระหว่างประเทศ

โดยการถ่ายทอดจากคนสู่คนเกิดขึ้นจากการสัมผัสใกล้ชิดกับวัสดุที่ติดเชื้อจากแผลที่ผิวหนัง น้ำอสุจิ และสารคัดหลั่งในช่องปาก ในขณะที่เชื้อก่อโรคเหล่านี้ยังคงแพร่กระจาย บุคคลสามารถติดไวรัสโรคฝีดาษลิง SARS-CoV-2 และ STI ได้พร้อม ๆ กัน ทำให้แพทย์ทำการวินิจฉัยที่ถูกต้องได้ยากยิ่งขึ้น

ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักวิจัยด้านไวรัสวิทยา ไบโอเทค โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Anan Jongkaewwattana ระบุถึงกรณีผู้ป่วยรายหนึ่งพบเชื้อฝีดาษลิง ร่วมกับโควิด และเชื้อเอชไอวี สามารถเกิดขึ้นได้พร้อมกันในคนเดียว โดยอ้างอิงวารสารวิชาการ Journal of Infection เพื่อเน้นให้เห็นถึงความทับซ้อนกันของอาการฝีดาษลิงและโควิด-19 พร้อมยืนยันกรณีของการติดเชื้อร่วม

ตามรายงานของวารสารวิชาการ Journal of Infection ได้รายงานเคสของผู้ป่วยฝีดาษลิงชายชาวอิตาลี อายุ 36 ปี ที่มีประวัติเดินทางไปยังประเทศสเปน ใช้เวลา 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 16 ถึง 20 มิถุนายน พ.ศ. 2565 โดยขณะที่อยู่ที่นั่นได้มีกิจกรรมทางเพศแบบชายรักชายแบบไม่ป้องกัน

หลังเดินทางกลับภน 9 วัน ผู้ป่วยเริ่มมีอาการนำ ประกอบด้วย ไข้ อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า เจ็บคอ ปวดศีรษะ และ ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบขวาโต 3 วันหลังอาการนำเริ่มมีผื่นแดงขึ้นที่ผิวหนัง และ ในตอนบ่ายของวันเดียวกันตรวจพบเชื้อ SARS-CoV-2 ในตัวผู้ป่วยด้วยเช่นกันด้วย ATK

ภาพจาก Journal of Infection

หลังจากนั้น 3 วันผู้ป่วยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลโดยในวันที่เดียวกัน พบตุ่มหนองบนร่างกายบริเวณ แขน ลำตัว ฝ่ามือ นิ้ว ขา สะโพกปรากฏชัดมาก วันที่ 5 กรกฎาคม เนื่องจากมีตุ่มหนองค่อย ๆ ลุกลามไปเรื่อย ๆ ผู้ป่วยจึงไปที่แผนกฉุกเฉินของ Policlinico G. โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย Rodolico San Marco ในเมืองคาตาเนีย ประเทศอิตาลี และต่อมาได้ย้ายไปยังหน่วยโรคติดเชื้อ

1 วันหลังจากนั้นผลการตรวจจากห้องปฏิบัติการที่โรงพยาบาลยืนยันว่าผู้ป่วยรายนี้มีเชื้อฝีดาษลิงสายพันธุ์ที่ระบาดในสเปน และ มีไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์ BA.5.1 และ นอกจากนั้นยังมีเชื้อ HIV-1 อยู่ในร่างกาย (234,000 copies/mL) ด้วย

ภาพจาก Journal of Infection

เนื่องจากปริมาณเม็ดเลือดขาว CD4 ของผู้ป่วยรายนี้ยังอยู่ในระดับปกติ (812 cells/μL) ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า ผู้ป่วยรับเชื้อเอชไอวีมาก่อนหน้านี้ไม่นาน และ ไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีเชื้ออยู่ ซึ่งผู้ป่วยรายงานว่ากำลังรับการรักษาซิฟิลิสในปี 2562 และในเดือนกันยายน พ.ศ. 2564 มีผลทดสอบเอชไอวีเป็นลบ

ผู้ป่วยอยู่โรงพยาบาล 6 วัน ผลตรวจยังพบออกมาเป็นบวกทั้งฝีดาษลิงและโควิด แต่อาการป่วยทุเลาลงมากแล้ว เหลือแต่อาการทางผิวหนังที่ยังอยู่ในช่วงกำลังจะเริ่มตกสะเก็ด แพทย์จึงให้ไปรักษาตัวต่อที่บ้าน หลังจากนั้น 2 วัน ผล ATK ที่ตรวจที่บ้านก็เป็นลบ แต่ตุ่มหนองยังพบได้อยู่ 8 วันหลังจากมาอยู่ที่บ้าน ตุ่มหนองแทบจะตกสะเก็ดหมดแล้ว

อย่างไรก็ตาม แพทย์นัดให้มาตรวจอีกครั้ง โดยตรวจจากตัวอย่างจากคอ ( Oropharyngeal swab ) ผลตรวจพบว่า ผู้ป่วยยังคงเป็นบวกต่อไวรัสฝีดาษลิงอยู่ แม้เหลือรอยแผลเป็นเล็ก ๆ แต่ยังไม่มีข้อมูลว่าตัวอย่างที่ตรวจสามารถนำไปเพาะเชื้อต่อขึ้นหรือไม่

รวมเวลาที่นับจากวันที่กลับจากสเปนถึงวันที่ที่ตรวจครั้งสุดท้ายคือ 29 วัน ผู้ป่วยรายนี้มีประวัติฉีดวัคซีน Pfizer 2 เข็ม ตั้งแต่เมื่อปลายปีที่แล้ว พอต้นปีเขาติดโควิดซึ่งน่าจะเป็นสายพันธุ์ BA.1 การติดครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ด้วยสายพันธุ์ BA.5.1 ซึ่งอาจจะหนีภูมิจาก BA.1 ได้ดี และ ภูมิได้รับมามากกว่า 6 เดือนแล้ว

จากรายงานที่พบ ATK เป็นบวกในเวลาใกล้ๆกับที่มีผื่นขึ้น อนุมานได้ว่าผู้ป่วยรายนี้น่าจะได้รับเชื้อฝีดาษลิงมาก่อน และ ได้รับเชื้อ SARS-CoV-2 มาในช่วงระยะฟักตัวของฝีดาษลิง เนื่องจาก โควิดมีระยะฟักตัวที่สั้นกว่า อาการนำอะไรต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กัน จนแยกไม่ออกว่าอาการที่เห็นมาเป็นผลมาจากเชื้อไหนกันแน่

นอกจากนี้ ดร.อนันต์ยังกล่าวว่า “สำหรับผู้ที่อาจสงสัยว่าโควิดกับฝีดาษลิงจะผสมกันเป็นไวรัสตัวใหม่ได้หรือไม่ ต้องตอบว่า เป็นไปไม่ได้แน่นอนครับ โควิดเป็นไวรัสที่มี RNA เป็นสารพันธุกรรม แต่ ฝีดาษลิงเป็น DNA ดังนั้นไวรัสสองชนิดนี้คุยกันไม่รู้เรื่องครับ”

ขอบคุณที่มาจาก Journal of Infection Anan Jongkaewwattana

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ