"ราฟาเอล เบนิเตซ" : บิ๊กบอสใจร้าย, ชายเย็นชา และ เจ้านายผู้ไร้อารมณ์.. อย่างมีเหตุผล

Home » "ราฟาเอล เบนิเตซ" : บิ๊กบอสใจร้าย, ชายเย็นชา และ เจ้านายผู้ไร้อารมณ์.. อย่างมีเหตุผล
"ราฟาเอล เบนิเตซ" : บิ๊กบอสใจร้าย, ชายเย็นชา และ เจ้านายผู้ไร้อารมณ์.. อย่างมีเหตุผล

การทำงานไม่ว่าจะงานใดๆก็ตาม หากเราลงมือทำเต็มที่และได้รับคำชมสมสักครั้งจากเพื่อนร่วมงาน, ลูกค้า หรือ เจ้านาย ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ทำให้หัวใจพองโต และทำให้มีแรงสู้งานได้อีกเป็นกอง

อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่สูตรสำเร็จขององค์กรใดๆก็ตามที่อยากจะประสบความสำเร็จ หรือเจ้านายที่ได้ใจลูกน้อง เพราะ ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือยอดนักสร้างเซอร์ไพรส์อันดับต้นๆของโลก แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง 

นี่คือเรื่องราวสไตล์การทำงานแบบหัวหน้าใจหิน ชนิดที่ไม่คิดจะเอ่ยชมลูกน้องคนไหนให้ได้ยิน.. ทำไม ราฟา จึงทำเช่นนั้น? และเขามีเหตุผลอะไรซ่อนอยู่? ติดตามได้ที่นี่..

เขาเรียกมันว่าสไตล์ 

ราฟาเอล เบนิเตซ คือชายผู้พา บาเลนเซีย ผงาดคว้าแชมป์ ลา ลีกา สเปน 2 สมัย ทั้งๆที่เป็นทีมซึ่งมีงบประมาณและคุณภาพนักเตะต่างจาก เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า อย่างสิ้นเชิง

1

เขาพา ลิเวอร์พูล เป็นแชมป์ยุโรปแบบน่าจดจำที่สุดในประวัติศาสตร์ และแม้กระทั่งการทำงานกับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด อยู่กับผู้บริหารที่ว่ากันว่าห่วยแตกที่สุดในประวัติศาสตร์ เขาก็ยังทำให้ทีมมีสไตล์ที่น่าจดจำและได้ผลลัพธ์ที่ต้องการเสมอ.. เขาทำมันได้อย่างไร? 

เรื่องนี้ต้องถามคนใกล้ตัวที่สุดของเขา นั่นคือ มอนต์เซ่ เบนิเตซ ภรรยา ที่เล่าว่า ราฟาเอล เบนิเตซ ไม่ใช่โค้ชฟุตบอลประเภทที่เป็นศิลปินและมีลักษณะเฉพาะตัวเหมือนกับคนอื่นๆ งานของ ราฟา คืองานจริงจัง เหมือนกับพนักงานออฟฟิศในประเทศญี่ปุ่น ที่ต้องทำแบบหามรุ่งหามค่ำ ทำจนเสร็จตามเป้า ไม่งั้นไม่ต้องหลับต้องนอนหรือได้กลับบ้าน มันเป็นแบบนั้นเลย 

“การเป็นผู้จัดการทีมของเขา ราฟา ไม่ใช่สิ่งที่เขาทำ.. แต่มันคือสิ่งที่เขาเป็น ทางเดียวที่จะหยุดให้เขาหยุดได้ คือคุณต้องแย่งสนามของเขาซะ ยกออฟฟิศเขาทิ้งไปเลย” มอนต์เซ่ ว่าเช่นนั้น 

การเอาจริงเอาจังกับงาน ยอมหักไม่ยอมงอ และเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู คือสไตล์และบุคลิกของเขา เขาไม่เคยเปลี่ยนมุมมองของตัวเองไม่ว่าจะต้องพูดกับใคร แม้แต่กระทั่งประธานสโมสรคนที่เลือกเขามา ราฟา ก็ไม่ยอมก้มหัวให้ หากมันต้องทรยศแนวทางและการทำงานของเขาก็ตาม

“คาแร็คเตอร์ของ ราฟา เบนิเตซ นั้นทำให้เขามีปัญหาเวลาต้องคุมทีมที่มีการเมืองในบอร์ดบริหารสโมสร ตัวอย่างชัดที่สุดก็ที่ เรอัล มาดริด นั่นแหละ เขามีความสัมพันธ์แบบแปลกๆกับ ฟลอเรนติโน เปเรซ เขาไม่เคยเปลี่ยนมุมมองการทำงานของตัวเอง ต่อให้แตกต่างจากที่ผู้บริหารต้องการแค่ไหน และในไม่ช้าเวลาของเขาก็หมดลง” บทความของ The Guardian เขียนถึง เบนิเตซ ไว้เช่นนั้น 

2

เมื่อต้องทำงาน สไตล์ของ เบนิเตซ คือเขาต้องมีสิทธิ์ควบคุมทุกอย่าง มีสิทธิ์เลือกสิ่งที่เขาต้องการเองทั้งหมด ครั้งหนึ่งสมัยคุมทีม บาเลนเซีย เขาเคยด่าทอกับผู้บริหารสโมสรที่ปรับปรุงภูมิทัศน์ออฟฟิศของเขาด้วยการซื้อโซฟาตัวใหม่ ทั้งๆที่ตัวเขาต้องการแค่โคมไฟใหม่ แม้แต่เรื่องเล็กๆแบบนี้ก็ไม่อาจปล่อยผ่านได้

นอกจาก ราฟา เบนิเตซ แล้ว มีโค้ชอีกหลากหลายคนบนโลกนี้ที่เชื่อมั่นในแนวทางตนเอง เรียกร้องสิทธิ์ขาดในการทำงานแบบเต็มที่ แต่ที่บอกว่า ราฟา แตกต่างจากโค้ชคนอื่นๆคือ ในขณะที่คนอื่นๆแข็งกับเจ้านายและกางปีกปกป้องลูกน้อง (นักเตะในทีม) แต่ ราฟา นั้นแข็ง 100% แม้แต่ลูกน้องคนที่ต้องซื้อใจมากที่สุด ราฟา ก็ไม่อาจให้ใครก้าวล่วงเข้ามาในความคิดของเขาได้ ดังนั้น การทำงานของเขามันจึงโหดหินอย่างที่สุด จนถึงขั้นที่ สตีเวน เจอร์ราร์ด ตำนานนักเตะชุดแชมป์ยุโรปปี 2005 ของ ลิเวอร์พูล ยังต้องบอกเองว่า “เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นคนเย็นชาแบบนี้”

เจ้านายผู้เย็นชา 

ยุคปี 2000 กลางๆ ที่ ราฟาเอล เริ่มมาทำงานในอังกฤษนั้น เขาคือความต่างในแบบที่นักเตะหลายคนไม่เคยเจอ มันเป็นความแตกต่างจากการคุมทีมสไตล์ “พ่อลูก” ของโค้ชชาวสหราชอาณาจักรสมัยนั้น ที่พร้อมถลกแขนเสื้อบู๊ไปกับลูกทีม ปลุกเร้ากันด้วยท่าทีที่เร้าใจ และใส่ใจกันในสนามซ้อม และมีอารมณ์ขันในยามที่พักเบรก 

3

เกล็น จอห์นสัน นักเตะของ ลิเวอร์พูล คืออีกคนที่เข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี เขาเคยทำงานร่วมกับโค้ชสไตล์ “ป๊ะป๋า” อย่าง แฮร์รี่ เรดแน็ปป์ มาก่อน แต่พอมาเจอกับ เบนิเตซ นั้น จอห์นสัน ยอมรับว่าบรรยากาศในการทำงานมันคนละเรื่อง.. ถึงขั้นที่ว่าต้องยกให้ ราฟา เบนิเตซ เป็นกุนซือที่แย่ที่สุดที่เคยทำงานด้วย

“ใครคือโค้ชที่แย่ที่สุดเหรอ?.. ไม่ต้องถามเลย ผมคงต้องตอบว่า ราฟาเอล เบนิเตซ แน่ๆ เขาไม่เคยมองคุณเป็นเพื่อน ไม่เคยพยายามจะที่เข้าหาคุณ ผมคงต้องบอกว่าเขาเป็นนักจัดการที่ปกครองทีมได้แย่สุดๆ” จอห์นสัน ว่าเช่นนั้น 

ราฟา ไม่เคยพยายามเป็นเพื่อนกับใครแม้แต่ลูกทีม นั่นคือเรื่องจริงที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ เขาเรียกร้องจากนักเตะในทีมสูงมาก ไม่ว่าจะในการซ้อมหรือการลงสนามสักเกม ทว่าเมื่อนักเตะสักคนทำได้ตามที่เขาหวัง เขากลับไม่มีอะไรมอบให้ แม้กระทั่งคำชม 

“อยากได้คำชมของ ราฟา เหรอ? ยาก ยากพอๆกับการเค้นเลือดออกจากก้อนหินนั่นแหละ” สตีเวน เจอร์ราร์ด กล่าว

“เขามักจะทิ้งคุณไปในยามที่คุณต้องการเขามากที่สุด สาเหตุน่ะเหรอ? เพราะเขาอยากให้คุณพยายามให้มากที่สุดเพื่อสร้างประทับใจให้กับเขา แต่พอคุณทำได้ เขาก็ไม่ให้คำชมคุณอยู่ดี” 

4

ไม่ใช่แค่ เจอร์ราร์ด คนเดียวที่พูดอะไรแบบนี้เกี่ยวกับ ราฟา นักเตะทุกคนที่เคยทำงานด้วยต่างยืนยันในเรื่องความเป็นคนปากหนักและเย็นชาของเขาเป็นอย่างดี ราฟา เป็นคนที่ทำงานภายใต้หน้าที่ของตัวเองเท่านั้น ไม่สนใจคำด่าของเขา ขอแค่ให้ตัวเองได้ลงมือทำก็พอ ดังนั้น เขาจึงไม่กลัวที่จะเป็นศัตรูกับใคร

บอร์ดบริหาร, นักเตะ และแฟนบอล ไม่มีภาคส่วนไหนที่ ราฟาเอล เบนิเตซ ไม่เคยไฟต์ด้วยเลยสักครั้ง แล้วแบบนั้นความดีความงามของเขาคืออะไร? ทำไมโค้ชใจหินสุดเย็นชาคนนี้จึงประสบความสำเร็จได้? นักเตะทุกคนที่เคยพูดถึงเขาในแง่ลบ คือกลุ่มเดียวกันที่จะบอกคุณให้เข้าใจว่า “ทำไมพวกเขาจึงรักราฟา”

วิธีทำให้คนเคารพ ฉบับคนเข้าสังคมไม่เก่ง 

การจะทำให้ใครคล้อยตามความคิดของตัวเราเองนั้น วิธีที่ง่ายที่สุดคือการเข้าหาและอธิบายให้เข้าใจ หรือแม้กระทั่งการสร้างความสนิทสนมในหมู่คณะ ที่นอกจากจะได้ความเข้าใจแล้วยังได้มิตรภาพ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้การทำงานง่ายขึ้นมากเท่านั้น แต่ในเมื่อ ราฟาเอล เบนิเตซ ไม่ใช้วิธีเบสิคที่หลายคนบนโลกใช้กัน เขาใช้วิธีไหน?

5

“ราฟาเอล เบนิเตซ ผู้จัดการทีมที่แย่ที่สุดที่ผมเคยเจอน่ะใช่แน่นอน แต่ผมไม่มีทางปฏิเสธแน่ว่าเขาคือคนที่ฉลาดที่สุด และทำงานด้วยความชาญฉลาดอย่างที่สุดในเวลาเดียวกัน” เกล็น จอห์นสัน อดีตลูกทีมต่อจากเนื้อหาข้างบนให้จบ 

“ผมรัก ราฟา นะ พูดจริงๆเลย เขาทำงานโดยใข้วิธีจัดการกับคนในแบบที่แตกต่างมาก เขาไม่สร้างความสัมพันธ์แบบเป็นมิตรในแบบที่หลายคนทำ ผมจะยกตัวอย่างให้ฟังสักข้อแล้วกัน..”

“ครั้งหนึ่ง เฟร์นานโด ตอร์เรส ยิงแฮตทริกด้วยฟอร์มที่สุดยอดมาก ราฟา ก็เปลี่ยนตัวเขาออก เมื่อ ตอร์เรส เดินผ่านซุ้มสำรอง นักเตะทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน ‘โอ้ นายนี่มันโคตรสุดยอดจริงๆ สำหรับฟอร์มวันนี้’ พอ เบนิเตซ ได้ยินเท่านั้นแหละ เขาเดินเข้ามาเบรกทันทีแล้วพูดว่า ‘ใช่ แต่จริงๆแล้วนายควรจะยิงได้ 4 ลูกด้วยซ้ำ'”

“ก่อน ตอร์เรส จะเข้าห้องแต่งตัว ราฟา ก็ย้ำอีกครั้งว่า ‘คราวหลังอย่าพอใจกับแค่ 3 เข้าใจมั้ย? วันนี้เยี่ยม ไปพักได้'” เกล็น จอห์นสัน เล่าต่อ 

6

วิธีคุยกับลูกน้องของ ราฟาเอล เบนิเตซ นั้นคล้ายๆกับวิธีที่ คิม สก็อตต์ อดีตผู้บริหารของ Google และ Apple ยืนยันด้วยประสบการณ์ของตัวเองว่า การชมและการติควรมาในเวลาเดียวกัน เพื่อให้สารที่ออกไปครบที่สุด และทำให้ผู้ฟังได้อะไรกลับไปจากประโยคนั้นสิ้นสุดลง แนวคิดนี้ชื่อว่า “ฟีดแบ็ค แซนด์วิช” นั่นคือการจั่วหัวด้วยคำชม ปิดท้ายด้วยคำชม และเอาคำติไว้ตรงกลาง เพื่อให้คนฟังได้ใช้ความคิด ได้พัฒนาตัวเอง และไม่เสียกำลังใจจนมากจนเกินไป 

นอกจากนี้แนวคิดของ ราฟา ยังคล้ายๆกับผู้บริหารของ Google และ Apple ว่า คำชมอันเลื่อนลอยไร้คุณภาพ อาจส่งผลให้บางคนในทีมลดคุณภาพงานลงตามมาตรฐานที่ไม่สูง สร้างวัฒนธรรมของความ “ไม่เป็นไร” และ “อะไรก็ได้” ซึ่งสำหรับเพอร์เฟกชันนิสต์อย่าง ราฟา เบนิเตซ ไม่สามารถยอมได้

เรื่องนี้สอดคล้องกับตอนที่เขาทำงานกับ นิวคาสเซิ่ล ที่ ไมค์ แอชลี่ย์ ผู้บริหารทีมไม่เคยก้าวก่ายงานของเขาเลย แต่ก็ไม่เคยใส่ใจสโมสรและพัฒนาการของทีมเช่นกัน จนทำให้สุดท้าย เมื่อ ราฟา รู้ว่าทีมไม่สามารถไปข้างหน้าได้ เขาก็ประกาศลาออก และเลือกไปทำงานที่ประเทศจีนกับ ต้าเหลียน อี้ฟาง (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น ต้าเหลียน โปร) แทน

“กับ ต้าเหลียน อี้ฟาง ผมเองก็พร้อมนำความรู้ ความสามารถแลกเปลี่ยนกัน เพื่อหวังว่าจะพาทีมประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม สโมสรแห่งนี้ได้แสดงความเป็นมืออาชีพ เรียกพูดคุยกันเสมอ ประชุมกันตลอด ซึ่งผมไม่เคยเจอเลยสมัยอยู่นิวคาสเซิ่ลตลอด 3 ปีที่ผ่านมา” นี่คือสิ่งที่ เบนิเตซ กล่าวสมัยมาคุมทีมที่จีนใหม่ๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะแยกทางกับทีมเมื่อต้นปี 2021 จากความกังวลเกี่ยวกับ COVID-19 

7

การจริงจังกับการทำงานในทุกขั้นตอน นั่งเฝ้าคิดค้นแท็คติก วิธีการเล่นที่ตนเองคิดว่าเพอร์เฟกต์มาเป็นปีๆ เพื่อให้ทีมเล่นออกมาให้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่ ราฟา จะไม่ยอมให้คำชมที่ไม่จริงใจ หรือพูดไปงั้นๆเพื่อให้กำลังใจกัน ทำให้มาตรฐานของลูกทีมของเขาตกไปอย่างแน่นอน 

“ผมบอกแล้วไง คนอย่าง ราฟา น่ะรู้ดีว่าพูดแบบไหนคุณถึงจะเล่นออกมาได้ดีสุดยอดแบบที่ตัวคุณเองยังไม่อยากจะเชื่อ” เกล็น จอห์นสัน หัวเราะหลังกล่าวทิ้งท้ายถึงผู้จัดการทีมที่เขาคิดว่าแย่ที่สุด

จะมีใครเข้าใจวิธีการทำงานแบบ ราฟาเอล เบนิเตซ มากกว่า สตีเวน เจอร์ราร์ด ได้อีก ในยุคที่ ราฟา เข้ามาคุมทีม เขาเปลี่ยนให้ เจอร์ราร์ด เป็นนักเตะระดับเวิลด์คลาสอย่างไร้ข้อโต้แย้ง และ เจอร์ราร์ด เองก็เป็นส่วนพิสูจน์ให้เห็นว่า การทำงานแบบราฟา แบบไร้คำชม ไม่ค่อยพูดตลกใส่กัน มุ่งหน้าไปที่เป้าหมายเป็นหลัก ก็สามารถสร้างความเคารพที่มีต่อกันและกันได้ เพราะสิ่งที่ ราฟา ถ่ายทอดให้ เจอร์ราร์ด คือกุญแจสำคัญที่ทำให้เขาพัฒนาตัวเองได้อย่างรวดเร็ว

“ผมทำงานกับโค้ชมาเยอะ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส และ เชราร์ อุลลิเยร์ นั้นเน้นเรื่องการบริหารความสัมพันธ์กับลูกน้องในทีม ใกล้ชิดผู้เล่นมากๆ แต่ ราฟา เองไม่ค่อยจะทำแบบนั้น แต่ความต่างอีกข้อก็คือ ทั้ง ร็อดเจอร์ส และ อุลลิเย่ร์ ก็ไม่เคยลงลึกในรายละเอียดเกมเท่ากับที่ เบนิเตซ ทำเหมือนกัน” เจอร์ราร์ด เริ่มเปรียบเทียบได้อย่างเห็นภาพและน่าสนใจ

8

“เขาเป็นคนที่มีสไตล์การบริหารที่แตกต่าง มีการจัดการทีมที่แตกต่าง เขาจะไม่ทำให้คุณยิ้มแป้นตลอดการซ้อมหรอกนะ เขาจะหาอะไรมาท้าทายคุณตลอด เขาเคยลองยั่วยุผมก่อนเกมสำคัญจะเริ่ม และแปลกดีที่เขายั่วผมทีไร ผมมักจะตอบสนองกลับได้ดี และนั่นคือเหตุผลที่เขาและผมทำผลงานได้ดีในเกมใหญ่ๆทั้งหลาย” 

“บางเกมผมยิงได้ 2 ลูกกำลังลุ้นแฮตทริก เขาก็เปลี่ยนผมออกซะงั้น เขาทำให้ผมอัดอั้น เพื่อเก็บไว้ระบายใส่ในเกมต่อไปๆ นั่นคือการวางแผนซ้อนแผน ต่างกับโค้ชคนอื่นๆอย่างสิ้นเชิง” 

“การจะทำงานกับคนอย่าง ราฟา เบนิเตซ คุณจะต้องมุ่งมั่น เพราะเขาก็มุ่งมั่นไม่แพ้คุณแน่ เขาคือโค้ชที่เน้นเรื่องระเบียบ และทำให้แน่ใจว่าในการฝึกแต่ละเซสซั่นผ่านไปด้วยดี นักเตะทุกตำแหน่งทำได้แบบที่เขาต้องการ เขาพยายามสร้างทีมให้มีนิสัย แอบสร้างทีมให้มีจิตวิญญาณของความเป็นเฟอร์เฟกชันนิสต์ในทุกๆวัน เขาจะให้นักเตะแต่ละคนลงสนามได้ก็ต่อเมื่อแน่ใจว่านักเตะคนนั้นจะสามารถรู้ดีถึงความกระหายและความคาดหวังของเขา” เจอร์ราร์ด ว่าเช่นนั้น 

ตลอดชีวิต ราฟา เบนิเตซ ไม่เคยยกย่องตัวเองเป็นจอมแท็คติก หรือเป็นพวกบริหารทีมหรือคุมลูกน้องด้วยแง่จิตวิทยาเลยสักครั้ง แต่สิ่งที่นักเตะหรือลูกน้องที่เคยร่วมงานพูดถึงเขากลับตรงกันทั้งหมด เจอร์ราร์ด, ตอร์เรส, จอห์นสัน หรือแม้กระทั่งนักเตะที่เราไม่ได้กล่าวถึงอย่าง มักซี โรดริเกซ, หลุยส์ การ์เซีย และ เจมี่ คาร์ราเกอร์ ต่างก็บอกแบบเดียวกันว่า โค้ชคนนี้คือโค้ชที่ทำงานด้วยยาก แต่วันไหนที่คุณเข้าใจถึงเหตุผลของความพิถีพิถันของเขา และพร้อมจะเข้าใจในสิ่งที่เขาจะสื่อ เมื่อนั้นคุณเองก็จะเป็นนักเตะที่ดีขึ้นอย่างน่าประหลาด 

คาร์ราเกอร์ กลายเป็นหัวใจเกมรับ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เป็นคนที่เล่นพลาดติดเหวอประจำ, เจอร์ราร์ด เองกลายเป็นผู้นำทั้งในและนอกสนาม เมื่อมีเขาอยู่ในทีม นักเตะ ลิเวอร์พูล ไม่เคยถอดใจ แม้กระทั่ง เฟร์นานโด ตอร์เรส ก็เคยถูกเรียกว่ากองหน้าที่เก่งที่สุดในโลกในยุคของ เบนิเตซ ทั้งหมดนี้ คือเหตุผลบางประการที่ช่วยยืนยันว่า บางครั้งคำชมก็ไม่จำเป็นเสมอไป การทำให้คนหลายคนมองว่าคุณเป็นคนร้ายก็ไม่ได้แปลว่าผลงานของคุณจะร้ายตาม

9

“ผมเคยโดนไล่ออกมาก็ไม่น้อย ทั้งกับทีมเล็กๆอย่าง บายาโดลิด และ โอซาซูนา ที่ได้คุมทีมแค่ 9 นัด แต่มันก็ไม่เห็นเป็นอะไร มันทำให้ผมมุ่งมั่นยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ” ราฟา ผู้เชื่อมั่นเสมอว่าความผิดหวังนั้นคือยาขม แม้ไม่ถูกปากแต่ก็ดีต่อสุขภาพร่างกาย ขณะที่คำชมนั้นเป็นดั่งยาพิษ มากเกินไปก็หวานลิ้น แต่กินตาย

นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดชีวิตการทำงานของ ราฟาเอล เบนิเตซ ที่ทุกคนยอมรับว่าเป็น 1 ในกุนซือผู้ยิ่งใหญ่และแตกต่างที่สุดเท่าที่โลกเคยมี 

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ