รัฐบาล เร่งแก้ประมงผิดกฎหมาย ทำนานาชาติเชื่อมั่นไทย ดันส่งออก ปี’65 พุ่งกว่า 2.29 แสนล้านบาท สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน
24 เม.ย. 66 – น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้ความสำคัญ และขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่องอย่างจริงจัง
กระทั่งการจัดระดับสถานการณ์การค้ามนุษย์ดีขึ้น จากเทียร์ 3 เป็นเทียร์ 2 เฝ้าระวัง และปรับมาเป็นเทียร์ 2 รวมถึงการแก้ไขปัญหาการประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ
ซึ่งองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ ได้ชื่นชมประเทศไทยว่า สามารถดำเนินการเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี รวมถึงองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันประมงผิดกฎหมาย ระดับสากล ได้มอบรางวัลให้กับประเทศไทย
แสดงให้เห็นว่า นานาชาติให้ความเชื่อถือในเรื่องนี้ เนื่องจากประเทศคู่ค้าให้ความสำคัญกับการทำประมงถูกกฏหมาย จนส่งผลให้การส่งออกสินค้าประมงของไทยเพิ่มขึ้น โดยปี 2565 ที่ผ่านมา การส่งออกมีมูลค่าสูงกว่า 229,000 ล้านบาท
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า การส่งออกสินค้าประมงของไทยในรอบ 10 ปี (2555 – 2564) เฉลี่ย 1.66 ล้านตันต่อปี คิดเป็นมูลค่าเฉลี่ย 2.16 แสนล้านบาทต่อปี จากข้อมูลปริมาณการส่งออกหลังปี 2558 ซึ่งเป็นห้วงเวลาหลังการแก้ไขปัญหา จนปัจจุบัน พบว่ามีตัวเลขการส่งออกอยู่ที่ 1.5-1.6 ล้านตัน มีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 1.95-2 แสนล้านบาท มูลค่าการส่งออกที่เปลี่ยนแปลง เกิดขึ้นจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราและกลไกตลาดของประเทศคู่ค้าของไทย
“พล.อ.ประยุทธ์ เร่งปฏิรูปกฎหมายที่ล้าสมัย และเริ่มต้นการปฏิรูปประมงทั้งระบบ โดยมีเป้าหมายให้ประเทศไทยมีการทำประมงอย่างยั่งยืน ถือว่ามาถูกทางทำให้ไม่มีเรือเถื่อน และเพิ่มโอกาสทางอาชีพให้กับชาวประมง
ขณะเดียวกัน ก็ให้ความสำคัญในการป้องกันและปราบปรามการหลอกคนมาค้าบริการ การนำคนไปเป็นทาส การบังคับใช้แรงงาน แรงงานเด็ก การทำผิด การตั้งศูนย์ประสานแรงงานประมงใน 7 จังหวัดนำร่อง การช่วยเหลือคุ้มครองผู้เสียหาย หรือเหยื่อ การบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม และการเอาผิดเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้าไปยุ่งเกี่ยว-เป็นผู้ทำผิดเสียเอง อย่างตรงไปตรงมา
สร้างความเชื่อมั่นและเสริมภาพลักษณ์ให้ประเทศไทยเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ นำมาซึ่งโอกาสทางเศรษฐกิจ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เป็นสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ทำแล้ว และจะเดินหน้าต่อไป” น.ส.ทิพานัน กล่าว