การรักษามะเร็ง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความพร้อมของ “สภาพจิตใจ” ของผู้ป่วยนำไปสู่ “ความร่วมมือ” ในการรักษาซึ่งเป็น “หัวใจ” สำคัญของการเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษา ส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่ทราบว่าตนเองป่วยเป็นมะเร็งในทุกระยะมักเกิดอาการทางด้านจิตใจ และอารมณ์ได้หลากหลายพร้อมๆ กัน
อาการที่พบบ่อยคือ การกลัว การไม่เชื่อ การปฏิเสธ การโกรธ การสูญเสีย การรู้สึกผิด การวิตกกังวล การเศร้าหมอง หรือการซึมเศร้า โดยอาการเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ป่วยทุกราย ซึ่งนับเป็นเรื่องปกติที่ญาติผู้ป่วย และผู้ดูแลต้องทำความเข้าใจ และดูแลเอาใจใส่ เพื่อก้าวสู่ภาวะการณ์ปรับตัว แต่หากผู้ป่วยไม่สามารถปรับตัวได้ อาการต่างๆ เหล่านี้ อาจส่งผลกระทบต่อความพร้อมด้านร่างกาย จิตใจ กลายเป็นอุปสรรคในการรักษา
การสร้างพื้นฐานการดูแลสุขภาพองค์รวม พร้อมกับกระบวนการรักษามะเร็ง “การดูแลสุขภาพองค์รวม” ที่ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการไม่มีโรคหรือการไม่เจ็บป่วย แต่หมายถึงคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วย ซึ่งพวกเขาจะต้องสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข โดยนายแพทย์ธนุตม์ ก้วยเจริญพานิชก์ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลมะเร็งชีวามิตรา โรงพยาบาลเอกชนเฉพาะทางโรคมะเร็งแห่งแรกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปิดเผยว่า โรงพยาบาลเน้นแนวทางการรักษาแบบ “ยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง” จากมิติภายในไปสู่มิติภาพนอก สู่ความเข้าใจความต้องการของผู้ป่วยอย่างแท้จริง เพื่อการมีสุขภาพจิตใจที่ดี มีสุขภาพแข็งแรง พร้อมเข้าสู่กระบวนการรักษา ภายใต้การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ใน 5 มิติ ซึ่งประกอบด้วย
จิตวิญญาณ การมีความสุขที่เกิดจากความเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต ความเชื่อต่างๆ หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ที่ส่งผลต่อสุขภาพกายและจิตใจ
จิตปัญญา การเปิดกว้างด้านความคิด และประสบการณ์ใหม่ๆ เพื่อพัฒนาความรู้ ความเข้าใจ และเสริมสร้างศักยภาพให้กับตัวเองในด้านต่างๆ
สังคม ความสามารถในการดำรงชีวิตอยู่ในสังคม พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และการอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นได้อย่างมีความสุข ภายใต้เกณฑ์ของสังคม
สุขภาพจิต การสร้างสภาวะของจิตใจที่มีความสดชื่น แจ่มใส สามารถควบคุมอารมณ์ให้มั่นคงเป็นปกติ สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ได้ดี สามารถเผชิญกับปัญหา และพร้อมรับมือได้ โดยปราศจากความขัดแย้งหรือความสับสนภายในจิตใจ
สุขภาพกาย การดูแลให้ร่างกายแข็งแรง พร้อมภาวะของร่างกายที่ระบบต่างๆ สามารถทำงานได้เป็นปกติ ความคู่กับกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ อาทิ นอนหลับอย่างเพียงพอ รับประทานอาหารมีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เป็นต้น
ทั้งนี้ “กายต้องตรงจุด ใจต้องดูแล” เป็นแนวคิดหลักของโรงพยาบาลชีวามิตรา ในการดูแลผู้ป่วย โดยคำนึงเสมอว่าการรักษาโรคมะเร็งควรให้ความสำคัญต่อ “สภาพจิตใจ” หนึ่งในสุขภาพองค์รวม ด้วยความพร้อมจากภายใน นำไปสู่การวางแผนแนวทางการรักษาร่วมกันระหว่างทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ป่วย และญาติผู้ป่วย โดยพิจารณาบริบทแวดล้อมของผู้ป่วยแบบรอบด้าน ทั้งในเชิงสิ่งแวดล้อม สภาพที่อยู่อาศัย ที่ทำงาน สถานะด้านสังคม เพศ เชื้อชาติ ศาสนา อายุ อาชีพ สถานภาพที่เกิดจากการเป็นสมาชิกในครอบครัว และสถานะทางเศรษฐกิจ รวมไปถึงความคิดเห็นของคนในครอบครัวและบุคคลใกล้ชิด เพื่อหาความต้องการที่แท้จริงของผู้ป่วยมาประกอบการวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยเฉพาะบุคคล โดยมีการประชุมครอบครัว (Family Meeting) 30 นาที-1 ชม. ทุกสัปดาห์ เพื่อประเมินการรักษาและปรับแนวทางการรักษาตามความเหมาะสม การประชุมทีมแพทย์ (Tumor Conference) เพื่อประเมินการรักษาเชิงรุก
จากข้อดีของการรักษามะเร็งด้วยแนวคิด “ยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง” นำไปสู่ประสิทธิผลที่ผู้ป่วยจะได้รับอย่างสูงสุด ทั้งนี้ ปัจจัยดังกล่าวช่วยให้ทีมแพทย์เข้าใจสภาพจริงของผู้ป่วย ส่งผลให้การวินิจฉัยทั้งโรค (Disease) และความเจ็บป่วย (Illness) ไปได้ด้วยกัน (Explore both disease and illness) และให้การดูแลรักษาผู้ป่วยเฉพาะราย พร้อมหาแนวทางร่วมกันในการตรวจ วินิจฉัย รักษา รวมถึงการดูแลต่อเนื่องที่บ้าน เปิดโอกาสให้ทั้งแพทย์และผู้ป่วยมีบทบาทร่วมกันในการดูแลสุขภาพ โดยประยุกต์ทฤษฎีทางการแพทย์ให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่ของผู้ป่วย
พร้อมกันนี้ยังมีแนวทางป้องกันภาวะแทรกซ้อนและผลข้างเคียงจากการรักษา เมื่อทีมแพทย์เกิดความเข้าใจในผู้ป่วยแล้วจะทำให้สามารถเยียวยา รักษา ฟื้นฟู รวมทั้งหาโอกาสสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค เพื่อการวางแผนการดูแลรักษาสุขภาพในระยะยาวได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแพทย์และผู้ป่วย หากสัมพันธภาพระหว่างผู้ป่วย ครอบครัวและแพทย์เป็นไปด้วยดี จะนำไปสู่ผลสำเร็จในการรักษาพยาบาล ส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการรักษา โดยตั้งอยู่พื้นฐานของความเป็นจริง ร่วมค้นหาหนทางการดูแลรักษาที่เหมาะสมกับบริบทของผู้ป่วยร่วมกันอย่างมีความสุขได้ แม้ต้องสู้กับโรคร้าย
แนวทางการรักษาโรคในปัจจุบันให้ความสำคัญกับการดูแล “คน” ไปพร้อมกับ“โรค” ด้วยการมองผู้ป่วยทุกมิติทุกด้านที่มีผลกระทบต่อการเจ็บป่วย ทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ สังคม วัฒนธรรม ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี เศรษฐกิจสังคม สิ่งแวดล้อม บุคคล ครอบครัวและชุมชน เพื่อความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์และประสิทธิผลของการรักษาโรค