ศาลนครปฐม ยกฟ้อง “รองอ๊อฟ” อดีตสามีแอม ไซยาไนด์ ทุกข้อหาฉ้อโกง รับของโจร ปลอมเอกสาร ระบุ ไม่ปรากฏหลักฐานร่วมทำผิด

นางสาวธันย์นิชา เอกสุวรรณวัฒน์ หรือ ทนายพัช เผยว่า เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2566 ศาลจังหวัดนครปฐม มีคำพิพากษาในคดีที่ พนักงานอัยการจังหวัดนครปฐม โจทก์ และ นายณรงค์ชัย โจทก์ร่วม ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.วิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ หรือ รองอ๊อฟ อดีตสามีของ น.ส.สรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์ หรือ น้องแอม เป็นจำเลย ในหลายข้อหา

โดยคดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 23 เม.ย.2565 – วันที่ 28 มี.ค.2566 จำเลย กับพวก ร่วมกันรับของโจรโดยช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย วรับจำนำ หรือรับไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งรถยนต์นั่งสามตอน ยี่ห้อ เชฟโรเล็ต รุ่นแคปติวา สีขาว จำนวน 1 คัน อันเป็นทรัพย์ของธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ขณะอยู่ในความครอบครองของนายสถิรธร ผู้เสียหายที่ 1 ไว้จากนายชาญวุฒิ ซึ่งเป็นผู้ยักยอกรถยนต์คันดังกล่าว โดยจำเลยกับพวกรู้อยู่แล้วว่า เป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานยักยอก

น.ส.สรารัตน์ เคยนำรถไปจำนำ และไถ่รถคืนไปทุกครั้ง แม้ น.ส.สรารัตน์ จะเคยฝากเงินสดจำนวน 47,000 บาท เข้าบัญชีของจำเลยแต่ก็เป็นเวลาภายหลังจากที่ น.ส.สรารัตน์ นำรถไปจำนำกับโจทก์ร่วมแล้ว

เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการแบ่งหน้าที่กันทำหรือจำเลยมีส่วนรู้เห็นกับการกระทำของ น.ส.สรารัตน์ จะถือว่าจำเลยร่วมกับพวกฉ้อโกงโจทก์ร่วมไม่ได้ แม้จำเลยจะเคยเป็นสามีของ น.ส. สรารัตน์ ก็ไม่อาจสันนิษฐานให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยว่าจำเลยมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดตามฟ้อง

พยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมที่นำสืบมาจึงยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรค 2 ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยพยานจำเลยต่อไป

เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกับพวกกระทำความผิดตามฟ้องการพิจารณาคดี ส่วนแพ่งศาลจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 64 จึงต้องรับฟังว่าจำเลยไม่ได้ทำละเมิด ไม่จำเป็นต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วม พิพากษายกฟ้อง