13 พฤษภาคม 1981 เป็นวันแดดจ้า ท้องฟ้าโปร่ง และเป็นวันที่ชาวโลกต้องตื่นตระหนก ใคร (คิดจะ) ฆ่าพระสันตะปาปา “จอห์น ปอลที่ 2” ผู้เป็นโป๊ปแห่งศตวรรษ?
คณะสูงศักดิ์ของคริสตจักรนิกายคาทอลิกกำลังเดินทางไปพบฝูงชนที่เฝ้ารอในกรุงโรม ในคณะประกอบด้วยพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 (John Paul II) สตานิสลาฟ ดซิวิสซ์ (Stanislaw Dziwisz) บาทหลวงผู้อุทิศตนใกล้ชิดพระสันตะปาปา ซึ่งในเวลาต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นอาร์ชบิชอปแห่งคราคอฟ และพระคาร์ดินัล เดินทางด้วยรถยนต์คันสีขาว พระสันตะปาปาส่งยิ้ม โบกมือทักทาย อุ้มเด็กทารก ฯลฯ
จอห์น ปอลที่ 2 คือพระสันตะปาปาแห่งศตวรรษ อายุน้อย ฟอร์มดี มีเสน่ห์ เป็นที่รักใคร่ของผู้คน และรอบรู้ทางการเมือง เป็นพระสันตะปาปาพระองค์แรกจากโปแลนด์ ที่เห็นงามกับการเคลื่อนไหวของกลุ่ม ‘โซลิดาร์นอช’ (Solidarnosc) และต่อต้านรัฐบาลคอมมิวนิสต์
ฝูงชนบริเวณจัตุรัสนักบุญเปโตรส่งเสียงป่าวร้องต้อนรับ และยกกล้องถ่ายรูปขึ้นเหนือหัวเพื่อบันทึกภาพ เวลา 17.17 น. มีคนเล็งเป้ากระบอกปืนจากกลุ่มฝูงชนไปที่พระสันตะปาปา ใบหน้าของชายผู้ถือปืนบราวนิงดูบูดบึ้ง เสียงปืนลั่นไก จอห์น ปอลที่ 2 ทรุดล้มลง
สตานิสลาฟ ดซิวิสซ์ เพิ่งสังเกตเห็นภายในไม่กี่วินาทีว่ามีอะไรเกิดขึ้น “ผมจำได้ว่า นกพิราบที่ลานจัตุรัสพากันแตกกระเจิงและบินหนี จากนั้นก็เห็นพระสันตะปาปาค่อยๆ ทรุดลงกับพื้น เรารู้ทันทีเลยว่าท่านได้รับบาดเจ็บ ผมยังก้มลงถามท่านว่าเจ็บตรงไหนหรือไม่ ท่านตอบว่าเจ็บ และชี้ไปที่บาดแผล”
กระสุนปืนนัดนั้นพุ่งเจาะเข้าที่บริเวณท้องของพระสันตะปาปา ต้องนำตัวไปยังคลินิกเกเมลลีด้วยอาการสาหัส อัลเฟรดโด วีล-มารีน ผู้ช่วยแพทย์ในห้องฉุกเฉินพูดเล่า “มีคนตะโกนจากทางเข้าคลินิกว่าพระสันตะปาปาถูกยิง ผมเห็นบาดแผลที่ตัวท่านเต็มตา กระสุนเจาะเข้าที่ลำไส้เล็ก โชคดีที่มันเบี่ยงไปทางซ้าย ไม่อย่างนั้นคงจะโดนเข้าที่กระดูกสันหลัง”
ทีมแพทย์ต้องใช้เวลาถึงห้าชั่วโมงในการผ่าตัดช่วยชีวิตพระสันตะปาปา จนกระทั่งอาการของพระองค์พ้นขีดอันตราย ในตอนค่ำมีผู้คนเดินทางไปที่จัตุรัสนักบุญเปโตร เพื่อร้องเพลงและสวดมนต์ให้กับประมุขแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก
เมห์เหม็ด อาลี อักจา (Mehmet Ali Agca) มือปืนสัญชาติเติร์กวัย 23 ปีถูกจับกุมตัวได้ในที่เกิดเหตุ เขาเป็นที่รู้จักดีในตุรกีว่าเป็นฝ่ายขวาหัวรุนแรง เขาแสร้งตีมึน ให้การวกวนและย้อนแย้ง ชวนให้สงสัยว่า เขาลงมือทำคนเดียวเพราะความเพี้ยน หรือต้องการปกปิดผู้บงการอยู่เบื้องหลัง ระหว่างให้การกับเจ้าหน้าที่สอบสวน เขาพูดหลอกล่อ วกไปวนมา เหมือนเล่นละครตบตา
ไม่กี่สัปดาห์หลังเหตุการณ์ลอบสังหาร อักจาถูกตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิต ในมิถุนายนปี 2000 มีการอภัยโทษให้ตามคำขอร้องของพระสันตะปาปา จากนั้นมีการส่งตัวเขากลับไปยังตุรกี กลับไปรับโทษจำคุกสืบต่อ จากคดีฆาตกรรมผู้สื่อข่าวที่เขาเคยร่วมกับกลุ่มผู้ก่อการร้ายเมื่อปี 1979 แล้วหลบหนีจากคุกไปซ่อนตัวอยู่ในบัลแกเรีย และสเปน
ระหว่างต้องขัง อักจาพร่ำบอกว่าเขาได้รับคำบัญชาจากอัลลอฮ์ หรือไม่ก็ได้รับการว่าจ้างจากหน่วยราชการลับของบัลแกเรีย หรือเคจีบี ที่สำนักวาติกันก็มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่เบื้องหลัง นอกจากนั้น เขายังอ้างอีกว่า เขาปฏิบัติการในนามของอายะตุลลอฮ์ โคไมนี (Ayatollah Khomeini)
เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธปืนเชื่อว่า อักจาน่าจะเป็นมือสังหารที่ผ่านการฝึกอบรมมาอย่างดี เพียงแต่ไม่แน่ใจว่า เขาเป็นเพียงแค่เครื่องมือหรือไม่ สำนวนการสอบสวนจึงมีความเป็นไปได้หลายประเด็น
ตราบถึงทุกวันนี้ยังมีประเด็นคำถามเกี่ยวกับแรงจูงใจที่ยังไม่กระจ่างว่า ทำไมพระสันตะปาปาจึงต้องถูกปลงพระชนม์ การลงมือปฏิบัติการของอักคามีส่วนเกี่ยวพันกับผู้ก่อการร้ายฝ่ายขวาที่เขาเคยร่วมงานด้วยหรือไม่ แต่ทำไมกลุ่มผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้จึงพุ่งเป้าไปที่การสังหารประมุขของคริสตจักร หรือเพื่อต้องการเผยอุดมการณ์ที่ใครๆ เชื่อว่าคริสตจักรเป็นศัตรูอย่างนั้นหรือ อักคาเองเคยเขียนจดหมายเปิดผนึกในปี 1979 ว่า “ผมจะฆ่าผู้นำทางศาสนา (…) ผู้บัญชาการอำมหิตของพวกแซกซอนให้ได้”
ส่วนทฤษฎีที่ยังเชื่อกันถึงปัจจุบันก็คือ สหภาพโซเวียตอยู่เบื้องหลังการลอบสังหารครั้งนี้ โดยมีเลโอนิด เบรชเนฟ (Leonid Brezhnev) เป็นผู้บัญชาการด้วยตนเอง ซึ่งปรากฏอยู่ในรายงานสรุปคดี ‘Commissione Mitrokhin’ (หน่วยสืบสวนการปฏิบัติงานของเคจีบีที่เชื่อมโยงกับนักการเมืองของอิตาลี ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2002) ของรัฐสภาอิตาลีเมื่อปี 2010
ดังนั้น คารอล วอยตือวา (Karol Wojtyla นามเดิมของจอห์น ปอลที่ 2) จึงเปรียบเสมือนขวากหนามของระบอบคอมมิวนิสม์ เพราะเขาให้การสนับสนุนกลุ่มโซลิดาร์นอชอย่างเปิดเผย และเป็นภัยต่ออำนาจของสหภาพโซเวียตที่ปกครองอีสต์บล็อกไว้ทั้งหมด ในประเทศโปแลนด์ซึ่งมีชาวคาทอลิกอยู่ราว 90 เปอร์เซ็นต์ มีโอกาสซึมซับแนวความคิดทางการเมืองพร้อมๆ กับความเลื่อมใสในคำสอน ควบคู่ไปกับความเชื่อทางศาสนายังมีเงินสนับสนุนผ่านสำนักวาติกันไปถึงโปแลนด์อีกด้วย นั่นคือเงินจากซีไอเอ
แม้จะมีหลักฐานอยู่ในมือ แต่หน่วยสืบสวนคดีก็ไม่สามารถนำมาเปิดเผยได้ ในทางกลับกัน ยังมีอีกประเด็นให้ชวนขบคิดด้วยว่า ทฤษฎีที่เกี่ยวกับสหภาพโซเวียตนั้น ก็อาจมีหน่วยราชการลับของตะวันตกซ้อนอยู่เบื้องหลัง เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ชาวโลกเชื่อว่า คอมมิวนิสม์คือผู้ร้ายในช่วงสงครามเย็น เพราะหากสหภาพโซเวียตเป็นผู้บงการ ทำไมหน่วยราชการลับฝ่ายคอมมิวนิสต์ถึงต้องว่าจ้างกลุ่มผู้ก่อการร้ายฝ่ายขวาให้ปฏิบัติงานลอบสังหาร
จอห์น ปอลที่ 2 เคยปรารภก่อนสิ้นพระชนม์ในปี 2005 ว่า พระองค์เชื่อว่าการลอบปลงพระชนม์ครั้งนั้น ผู้กระทำไม่ได้มีคนเดียว แต่ทฤษฎีที่เกี่ยวพันกับบัลแกเรียนั้น พระองค์ก็ไม่เชื่อว่าเป็นจริง
ก็อาจมีหน่วยราชการลับของตะวันตกซ้อนอยู่เบื้องหลัง เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ชาวโลกเชื่อว่า คอมมิวนิสม์คือผู้ร้ายในช่วงสงครามเย็น เพราะหากสหภาพโซเวียตเป็นผู้บงการ ทำไมหน่วยราชการลับฝ่ายคอมมิวนิสต์ถึงต้องว่าจ้างกลุ่มผู้ก่อการร้ายฝ่ายขวาให้ปฏิบัติงานลอบสังหาร
ร่องรอยที่โยงไปสู่สำนักวาติกันเริ่มชัดขึ้น ขณะเดียวกันก็ระทึกขวัญและซับซ้อนมากที่สุด เพราะเมื่อต้นทศวรรษ 1980s ปรากฏข่าวอื้อฉาวเรื่องการคลังครั้งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 ขึ้นในวาติกัน เกี่ยวพันกับ โรแบร์โต คาลวี (Roberto Calvi) หรือที่รู้จักกันว่า ‘นายธนาคารของพระเจ้า’
เมื่อปี 1981 นายใหญ่ของธนาคารอัมโบรซิอาโนถูกฟ้องร้องดำเนินคดีข้อหาโอนเงินผิดกฎหมาย โดยสมคบคิดกับอาร์ชบิชอป ปอล คาซิเมียร์ มาร์ซินคุส (Paul Casimir Marcinkus) ผู้อำนวยการธนาคารวาติกัน อีกทั้งยังเป็นคนสนิทและผู้คุ้มกันของพระสันตะปาปา
ช่วงปลายทศวรรษ 1970s คาลวีให้ความช่วยเหลือในการโอนเงินของวาติกันและซีไอเอไปยังโปแลนด์ เพื่อส่งต่อให้กับกลุ่มโซลิดาร์นอช นอกจากนั้น คาลวีและมาร์ซินคุสยังร่วมกันก่อตั้งธนาคารในปานามา และบนเกาะบาฮามาส์ เพื่อฟอกเงินให้กับกลุ่มผู้ค้าโคเคนในอเมริกาใต้
มีการสืบพบในภายหลังว่า คาลวีมีความเกี่ยวพันกับแก๊งมาเฟียที่เขาเคยดูแลและฟอกเงินให้มาตั้งแต่ปี 1957 ในเดือนมิถุนายน 1982 หลังเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์พระสันตะปาปาผ่านไปหนึ่งปี มีคนพบศพของคาลวีถูกแขวนคออยู่ที่ใต้สะพานแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน และพบกระเป๋าเต็มไปด้วยเงินและก้อนอิฐ แก๊งมาเฟียอยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมครั้งนี้หรือไม่ ยังไม่มีใครให้คำตอบที่ชัดเจน
พระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 ยังยืนยันมาตลอดว่า ธนาคารวาติกันตกเป็นเหยื่อของบรรดาพวกมิจฉาชีพ แม้จะเกิดเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการฟอกเงินขึ้นในสำนักวาติกันก็ตาม ในวันที่เกิดเหตุปลงพระชนม์นั้น ปอล มาร์ซินคุส ผู้อำนวยการธนาคารและผู้คุ้มกัน ไม่ได้อยู่ที่ข้างกายของพระองค์
หรืออาจจะเป็นไปได้เช่นกันว่า เหตุการณ์ทั้งหมดคือสงครามแย่งชิงอำนาจระหว่างแก๊งมาเฟียและสำนักวาติกัน
… ซึ่งตอนนั้น หนังสือเบสต์เซลเลอร์ของแดน บราวน์ยังไม่ได้เขียนขึ้น