ย้อนบันทึกเหตุการณ์ "วันสวรรคต รัชกาลที่ 5" จากหม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล

Home » ย้อนบันทึกเหตุการณ์ "วันสวรรคต รัชกาลที่ 5" จากหม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล
ย้อนบันทึกเหตุการณ์ "วันสวรรคต รัชกาลที่ 5" จากหม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล

วันปิยมหาราช ย้อนบันทึกเหตุการณ์วันสวรรคต รัชกาลที่ ๕ จากหม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล 

เหตุการณ์ในวันสวรรคตของรัชกาลที่ ๕ “หม่อมเจ้าหญิง พูนพิศมัย ดิศกุล” พระธิดาในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์เล่าเรื่องวันสวรรคตความว่า

“…เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๔๕๓ ข้าพเจ้าเป็นบิดมีไข้ขึ้นอยู่ที่วังประตูสามยอดกำลังนอนหลับสนิท และสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยได้ยินเสียงผู้ชายร้องไห้อย่างเต็มเสียงข้าพเจ้าตกใจ เพราะไม่เคยได้ยินเสียงผู้ชายร้องไห้ แล้วก็นึกว่าฝันไปสักครู่ได้ยินเสียงนั้นอีก และคราวนี้จำได้ว่าเป็นพระสุรเสียงของเสด็จพ่อข้าพเจ้าก็ยิ่งตกใจมากขึ้น จึงหันไปปลุกแม่นมของข้าพเจ้าซึ่งนอนอยู่ข้าง ๆ ถามเขาว่า “ได้ยินเสียงอะไรไหม” นมแจ๋วลุกขึ้นนั่งแล้วตอบว่า “ได้ยินค่ะอย่าตกพระทัยไปเสียงทางท้องพระโรงน่ะ” แล้วเขาก็หันไปดูนาฬิกาข้าพเจ้ามองตามเขาไปจึงเห็นว่าเวลา ๒ น. เศษ ทันใดนั้นได้ยินเสียงคนขึ้นบันไดมาทางเฉลียงที่เรานอนข้าพเจ้าลุกขึ้นนั่งก็พอดีเห็นเสด็จพ่อทรงยืนอยู่ทางปลายมุ้งตรัสว่า “พระเจ้าอยู่หัวสวรรคตเสียแล้วลูก” แล้วก็ทรงพระกันแสงโฮใหญ่ ข้าพเจ้าก็ร้องไห้โฮตามไปด้วยแล้วท่านก็เสด็จกลับไปทางท้องพระโรงทรงพระดำเนินไปช้า ๆ เหมือนคนหมดแรง…

…เสด็จพ่อทรงเล่าว่าพระองค์ท่านเสด็จไปตรวจราชการทางใต้เสียวันหนึ่งกลับมาถึงกรุงเทพฯ บ่ายวันอาทิตย์จึงเลยไปเฝ้าที่พญาไท ซึ่งเป็นที่เสด็จประพาส และทรงทำนากันอยู่ในเวลานั้นทุก ๆ เย็นเมื่อเสด็จไปถึงก็เสด็จขึ้นเสียแล้วไม่ทันได้เฝ้าเขาทูลว่าเสด็จขึ้นเร็ว เพราะไม่ทรงสบายพระนาภี เสด็จพ่อจึงเสด็จตามเข้าไปฟังพระอาการที่พระที่นั่งอัมพรสถานได้ความว่าพระนาภีเสียและเสวยยาถ่ายแล้วไม่มีพระอาการมากมายอันใดก็เป็นอันเบาพระทัยและเสด็จกลับวังรุ่งขึ้นบ่ายเสด็จเวลากระทรวง แล้วก็เสด็จไปยังพระที่นั่งอัมพรอีก แต่วันนี้มหาดเล็กมาทูลว่าวันนี้เสด็จออกไม่ได้ โปรดให้เจ้านายรวมทั้งเสด็จพ่อเข้าไปเฝ้าข้างใน เมื่อเข้าไปเฝ้าก็ประทับตรัสคุยสนุกสนานดีตามเคย เป็นแต่ทรงเล่าพระอาการว่าพระนาภีเสียเสวยน้ำมันละหุ่งไม่เดิน เห็นจะเป็นด้วยยาเก่าไปจะต้องเสวยใหม่วันอังคารก็เข้าไปถึงพระที่นั่ง ก็ได้ทรงทราบว่าไม่ทรงพระสบายเพราะยาถ่ายเดินมากไป จนทรงเพลียถึงต้องบรรทมในพระที่…

…มีคุณย่าของข้าพเจ้าคนเดียว ที่ท่านให้คนวิ่งดูอยู่เสมอว่าเสด็จพ่อกลับจากในวังแล้วหรือยัง จนพวกเราเห็นแปลกมารู้ภายหลังว่า เพราะท่านเคยพบคำว่าสวรรคตมาแล้วนั่นเองส่วนพวกเราไม่เคยรู้จักสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ก็เสด็จอยู่ในราชสมบัติมาตั้ง ๔๒ ปี จึงเพลินจนไม่มีใครนึกถึงคำว่าสวรรคตถึงเช้าวันศุกร์สมเด็จพระราชินีนาถเสาวภาผ่องศรีเชิญเสด็จพ่อให้ไปเฝ้าที่หน้าม่าน (ข้างหน้าและข้างในต่อกัน) แล้วตรัสบอกว่า “พระอาการอื่น ๆ ดีขึ้นหมดทุกอย่างแต่หม่อมฉันไม่ชอบเรื่องลงพระบังคนเบาวานนี้ตลอดวันมีราว ๑ ช้อนโต๊ะจึงเชิญเสด็จท่านมาทูลจะได้คิดแก้ไข” เสด็จพ่อตกพระทัยเป็นครั้งแรกรีบทูลว่าจะต้องเรียกประชุมหมอแล้วก็กลับไปทูลเจ้านายที่ห้องแป๊ะเต่งจัดการเรียกหมอที่ว่าดีในเวลานั้นหมดมาประชุมตกลงกันถวายยาฉีดถวายสวนทุกอย่างที่จะพึงทำได้ในเวลานั้นแต่ไม่มีผลคงได้พระบังคนเบาราว ๑ ช้อนกาแฟซึ่งน้อยลงไปอีก



รุ่งขึ้นแทบทุกคนก็พากันไปฟังพระอาการทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายใน พระองค์ทรงพระบรรทมหลับไป ๆ จนหมดพระอัสสาสะเมื่อเวลา ๒๔.๔๕ นาที พระบรมศพมิได้มีซูบซีดผิดปกติกว่าเวลาทรงพระบรรทมหลับตามปกติแต่ประการใด

เสด็จพ่อทรงสั่งราชการ พลางทรงพระกันแสงพลาง ข้าพเจ้าก็ไปคอยเฝ้าพระบรมศพ ที่ริมถนนราชดำเนิน แถวโรงเรียนนายร้อยทหารบก พวกราษฎรเอาเสื่อไปปูนั่งกันเป็นแถวตลอดสองข้างทางจะหาหน้าใครที่มีแม้แต่ยิ้มก็ไม่มีสักผู้เดียว ทุกคนแต่งดำน้ำตาไหลอย่างตกอกตกใจด้วยไม่เคยรู้รสอากาศมืดคลุ้มมีหมอกขาวลงจัดเกือบถึงหัวคนเดินทั่วไปผู้ใหญ่เขาบอกว่านี่แหละคือ “หมอกธุมเกตุ” ที่ในตำราเขากล่าวถึงว่า มักจะมีในเวลาที่มีเหตุใหญ่ ๆ เกิดขึ้นไม่ช้าก็ได้ยินเสียงปี่ในกระบวนเสียงเย็นใสจับใจมาแต่ไกล ๆ แล้วได้ยินเสียงกลองรับเป็นจังหวะใกล้เข้ามา ๆ ในความมืดเงียบสงัด ที่มืดเพราะต้องตัดสายไฟฟ้าบางตอนให้พระบรมโกศผ่านได้ และที่เงียบก็เพราะไม่มีใครพูดจากันว่ากระไร

ข้าพเจ้าเคยได้ยินเสียงปี่เสียงกลองมาแล้วเคยได้เห็นแห่พระศพเจ้านายมาแล้วหลายองค์ แต่คราวนี้ตกใจสะดุ้งทั้งตัวเมื่อเห็นพระมหาเศวตฉัตรกั้นมาบนพระบรมโกศสีขาวกับสีทองเป็นสง่า ทำให้รู้ทันทีว่าพระบรมศพ แล้วก็ร้องไห้ออกมาโดยไม่ทันรู้ตัวเหลียวไปดูทางอื่น เห็นแต่แสงไปจากเทียนที่จุดถวายสักการะอยู่ข้างถนนแวม ๆ ไปตลอด ๒ ข้างถนนนั้นน้ำตาของเขากำลังหยดลงแปะ ๆ อยู่บนหลังมือของเขาเอง ทหารผู้อยู่ในยูนิฟอร์มอันแสดงว่ากล้าหาญยังร้องไห้ เพราะเสียดายประมุขอันเลิศของเขา เสด็จพ่อตรัสกล่าวว่าได้โทรเลขไปตามหัวเมืองให้ระวัง เหตุการณ์ในตอนเปลี่ยนแผ่นดินมีคนตอบมาทุกทางว่าภายใน ๗ วัน แต่สวรรคตนั้นไม่มีเหตุการณ์โจรผู้ร้ายเกิดขึ้นเลยสักแห่งเดียวในพระราชอาณาจักรฉะนั้นจึงต้องเข้าใจว่าแม้แต่โจรก็ยังเสียใจหรือตกใจในการเสด็จสวรรคตของพระพุทธเจ้าหลวง…”

บันทึก วันสวรรคต รัชกาลที่ ๕ นี้ คัดจากหนังสือเมื่อถึงกาล ผลัดแผ่นดิน แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ หน้า ๑๕๔-๑๕๗

“วันปิยมหาราช” ตรงกับวันที่ ๒๓ ตุลาคมของทุกปี ภาษาอังกฤษคือ Chulalongkorn Day เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ สิริพระชนมพรรษา ๕๗ พรรษา ๓๓ วัน เสด็จดำรงสิริราชสมบัติ ๔๒ ปี ๒๒ วัน  การเสด็จสวรรคตนำความทุกข์ใจมาสู่พสกนิกรทุกหมู่เหล่า เนื่องด้วยพระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ต่อประเทศไทยหลายด้าน และสิ่งที่โดดเด่นคือการประกาศเลิกทาส

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ