ปิดฉากไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับการลงสนามนัดสุดท้ายในถิ่น แอนฟิลด์ ของ โรแบร์โต ฟีร์มิโน กองหน้าทีมชาติบราซิล ที่จะย้ายออกจาก ลิเวอร์พูล หลังจบฤดูกาลนี้เนื่องจากหมดสัญญาในแมตช์ที่ “หงส์แดง” เสมอกับ แอสตัน วิลลา 1-1 ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันที่ 20 พ.ค.
โดย ฟีร์มิโน เป็นหนึ่งใน 4 นักเตะที่จะย้ายออกจาก ลิเวอร์พูล ทางการร่วมกับ นาบี เกอิตา, เจมส์ มิลเนอร์ และอเล็กซ์ ออกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ในรูปแบบฟรีเอเยนต์
และเหมือนบทละครที่เขียนไว้เนื่องจากแข้งเจ้าของเสื้อเบอร์ 9 ที่ลงสนามมาเป็นตัวสำรองในนาที 72 ก็สวมบท “ซูเปอร์ซับ” ด้วยการเป็นคนยิงช่วยทีมตีเสมอ “สิงห์ผงาด” ในนาที 88 แต่สุดท้าย ลิเวอร์พูล ก็ไม่สามารถเก็บ 3 แต้ม และทำให้โอกาสการไปเล่น ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาลหน้าแทบจะเป็นไปไม่ได้แล้ว
โดยถึงแม้ว่า ลิเวอร์พูล จะชวดคว้าชัยแต่บรรยากาศหลังเกมในการอำลา ฟีร์มีโน นั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่น และการแสดงให้เห็นถึงความรักทุกคนในทีม รวมถึงแฟนบอลมีต่อแข้งวัย 31 ปีรายนี้ในงานอำลา หลังเพื่อนร่วมทีมมีการเข้าแถวปรบมือเพื่อเป็นเกียรติ, มอบของที่ระลึก รวมถึงแฟนๆ ก็ทำป้าย และส่งเสียงร้องเพลง “Si Senor” ซึ่งเป็นเพลงประจำตัวของ ฟีร์มีโน ในการอำลาเขาอย่างกึกก้อง จน ฟีร์มีโน ไม่อาจจะกลั้นน้ำตาแห่งความสุข และความเศร้าที่ผสมปนเปกันได้
ฟีร์มีโน เป็นที่รักของเหล่า “เดอะ ค็อป” ทั่วโลกทั้งผลงานในสนามซึ่งเจ้าตัวทำได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยสถิติลงเล่น 361 เกมทำ 110 ประตูกับ 79 แอสซิสต์ รวมถึงภาพลักษณ์นอกสนามที่ไม่เคยมีข่าวเสียหายใดๆ ตลอด 8 ปีกับสโมสร และเป็นมิตรกับแฟนบอลเสมอทำให้หลายคนยกย่องให้เขาคือแข้ง “ตำนานสโมสร” อีกคนแบบไร้ข้อกังหา
8 ปีแห่งเวทมนตร์
ต้องเรียกได้ว่าช่วงเวลา 8 ปีที่ ฟีร์มิโน ค้าแข้งกับ ลิเวอร์พูล นั้นคือ 8 ปีแห่งเวทมนตร์ หลังเจ้าตัวทั้งโชว์ทักษะลูกหนัง, ยิงประตู และแอสซิสต์ จนช่วยทีมคว้าแชมป์มาครองได้ถึง 6 รายการประกอบด้วย พรีเมียร์ลีก อังกฤษ, เอฟเอ คัพ, คาราบาว คัพ, ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ
ฟีร์มิโน เป็นคนที่สร้างนิยามใหม่ให้กับบทบาทของนักเตะหมายเลข 9 ของลิเวอร์พูล ผู้แทบจะไม่ให้สัมภาษณ์ พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ แต่มีคาแร็กเตอร์ และบุคลิกซึ่งทำให้เขาเป็นที่ชื่นชอบของเพื่อนร่วมทีม และแฟนๆ เขาเป็นคนที่ทำให้การจบสกอร์แบบ “ไม่มอง” และการเฉลิมฉลองกังฟูกลายเป็นเอกลักษณ์ และเป็นภาพจำไปทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน
รุ่งเรืองในยุค คล็อปป์
ในช่วงแรกของ ฟีร์มิโน กับ ลิเวอร์พูล ซึ่งย้ายมาอยูกับทีมจาก ฮอฟเฟนไฮม์ เมื่อปี 2015 ด้วยค่าตัว 29 ล้านปอนด์ (ราว 1.23 พันล้านบาท) นั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับเจ้าตัว เมื่อ คริสเตียน เบนเตเก หัวหอกที่ แบรนเดน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล ในขณะนั้นซื้อเข้ามาในเวลาเดียวกันได้ลงสนามในตำแหน่งกองหน้าหมายเลข 9
ส่วนดาวเตะทีมชาติบราซิลต้องถูกดร็อปเป็นสำรอง และได้ลงสนามเป็นตัวจริงเพียง 4 นัดด้วยตำแหน่งปีกซ้าย และเพลย์เมกเกอร์เบอร์ 10 ซึ่งไม่ใช่ตำแหน่งที่เขาถนัด ก่อนสุดท้าย ร็อดเจอร์ส จะถูกปลดพ้นกุนซือในช่วงต้นเดือน ต.ค. 2015
ก่อนที่ เจอร์เกน คล็อปป์ จะเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่ ซึ่งการมาของ คล็อปป์ นั้นเปลี่ยนแปลงทุกอย่างของชีวิตค้าแข้งของ ฟีร์มิโน กับ ลิเวอร์พูล อย่างสิ้นเชิง เนื่องจาก คล็อปป์ ได้ใช้งานเขาในตำแหน่งกองหน้าตังหลัก หรือ “ฟอลส์ 9” และผลงานของเขาก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นคีย์แมนสำคัญที่ทีมจะขาดไปไม่ได้
ถึงแม้ว่า ฟีร์มิโน จะไม่ใช่กองหน้าเบอร์ 9 ที่มีสไตล์การเล่นเหมือนกับหัวหอกของทีมอื่นๆ แต่เขามีเซนส์การเล่นฟุตบอลที่ชาญฉลาด ทั้งจังหวะการจ่าย และการวิ่งทำทางเพื่อดึงกองหลังคู่แข่ง เป็นต้น
สุดยอด 3 ประสานแนวรุก
แน่นอนว่า วงดนตรีออร์เคสตราต้องการ “วาทยกร” ซึ่ง ฟีร์มิโน ก็รับตำแหน่งดังกล่าวในการเชื่อมโยงอีก 2 แนวรุกชื่อดังอย่าง ซาดิโอ มาเน และโมฮาเหม็ด ซาลาห์ ซึ่ง คล็อปป์ คว้าตัวมาเสริมแกร่งเพิ่มเติมให้กลายเป็น 3 ประสานแนวรุกที่โด่งดัง และประสบความสำเร็จที่สุดของวงการลูกหนัง
ฟีร์มิโน, มาเน และซาลาห์ หรือที่รู้จักกันในนาม 3 ประสาน “เอสเอ็มเอฟ” ร่วมกันสร้างความเสียหายให้กับคู่แข่งอย่างมาก โดยฤดูกาลแรกที่พวกเขาเล่นร่วมกัน ทั้ง 3 คนช่วยกันทำไปถึง 91 ประตู, ฤดูกาลที่ 2 ทำไป 69 ประตู และฤดูกาลที่ 3 ทำไป 57 ประตู
เมื่อถึงเวลาที่ทั้ง 3 คนต้องแยกจากกันหลัง มาเน ย้ายไปอยู่กับ บาเยิร์น มิวนิก ในปี 2022 พวกเขาจบด้วยผลงานรวม 338 ประตูใน 5 ฤดูกาล ซึ่งแน่นอนว่าสถิติดังกล่าวจะเป็นที่จดจำสำหรับ ลิเวอร์พูล ตลอดไป
การเดินทางครั้งใหม่
ฟีร์มิโน ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะไม่ต่อสัญญากับ ลิเวอร์พูล เมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเรื่องดังกล่าวสร้างความประหลาดใจให้กับ คล็อปป์ และแฟนบอล “หงส์แดง” เป็นอย่างมาก เนื่องจากเขาไม่เคยแสดงท่าทีว่าต้องการอำลาถิ่น แอนฟิลด์
อย่างไรก็ตาม ฟีร์มิโน ที่อายุกำลังจะครบ 32 ปีในเดือน ต.ค. ต้องลดบทบาทของตัวเองลงมาเป็นตัวสำรองให้กับ ลิเวอร์พูล ตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว โดยเขาได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงไปเพียง 17 เกม รวมถึงในซีซั่นนี้ที่เขาก็มีชื่อเป็น 11 ตัวจริงจำนวน 17 เกมเช่นกัน ซึ่งสาเหตุมาจากผลงานที่ดร็อปลงไป รวมถึงอาการบาดเจ็บที่รบกวนต่อเนื่อง
แน่นอนว่า ฟีร์มิโน ยังคงสามารถมีอิทธิพลต่อเกมได้ แต่ในขณะที่เขาไม่เคย และไม่ควรถูกตัดสินจากผลการทำประตูเพียงอย่างเดียว มันบ่งบอกว่า 4 ฤดูกาลหลังสุดนั้น เขาทำไปเพียง 44 ประตูในทุกรายการ และสถิติแอสซิสต์ก็ลดลงเหลือ 10 ครั้งใน 2 ฤดูกาลล่าสุด
คล็อปป์ กำลังสร้างสิ่งที่เขาหวังว่าจะเป็นแผงเกมรุกใหม่ที่น่าเกรงขาม ขณะที่ ซาลาห์ กำลังโลดแล่น พวกเขายังมี ดีโอโก โชต้า, หลุยส์ ดิอาซ, ดาร์วิน นูนเญซ และโคดี กักโป ซึ่งล้วนเป็นแนวรุกอายุน้อยกว่า 26 ปี และสามารถเล่นได้หลายตำแหน่งซึ่งมีศักยภาพเพียงพอสำหรับแนวรุกยุคใหม่ของ “หงส์แดง”
ทำให้คงถึงเวลาแล้วที่ ฟีร์มิโน จะออกเดินทางครั้งใหม่ในอาชีพค้าแข้ง ซึ่งก็มีหลายสโมสรทั้งจาก สเปน, อิตาลี และสหรัฐอเมริกาให้ความสนใจ
แน่นอนว่าการอำลาทีมของ ฟีร์มิโน สร้างความสะเทือนใจให้กับแฟนบอล ลิเวอร์พูล ทั่วโลก ถึงกระนั้นชีวิตยังคงดำเนินต่อไป ฟุตบอลก็เช่นกัน และการ “ยิ้มทั้งน้ำตา” ในครั้งนี้ของเขาคงจะเป็นฉากสุดท้ายที่ดีที่สุดของเจ้าตัวกับ “หงส์แดง”
ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ก : Liverpool FC