-
ปัญหาที่เกิดจากการใช้สมุนไพรหรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ที่พบได้บ่อยคือ รับประทานเกินขนาดหรือต่อเนื่องเกินไปจนส่งผลเสียต่อตับ อาการไม่พึงประสงค์ของผู้ที่รับประทานสมุนไพรร่วมกับยาที่ใช้ในการรักษาโรคประจำตัวหรือยาแผนปัจจุบันบางประเภท ซึ่งบางครั้งก็อาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต
-
น้ำเกรปฟรุต ทำให้ระดับยาลดความดันโลหิต และ ยาลดไขมันในเลือด สูงขึ้นหลายเท่าในกระแสเลือด จนส่งผลให้เกิดพิษจากยาได้
-
ในปัจจุบัน สามารถตรวจระดับวิตามินแร่ธาตุในร่างกายได้โดยการเจาะเลือด เพื่อค้นหาวิตามินและแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการจริง นำไปสู่การเลือกรับประทานอาหารหรืออาหารเสริมที่เหมาะสมในแบบเฉพาะบุคคล
นพ. ภาณุวัฒน์ พุทธเจริญ แพทย์ชำนาญการด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ระบุว่า สมุนไพรคือจุดกำเนิดตของพืชที่นำมาใช้ทางยาเพื่อรักษาอาการต่างๆ เมื่อหลายพันปีก่อน ในปัจจุบัน ความนิยมของการใช้ยาสมุนไพรยังคงแพร่หลาย โดยหลายคนมีความเชื่อว่าสมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ผลิตมาจากธรรมชาตินั้นมีประสิทธิภาพที่ดีและมีความปลอดภัยมากกว่ายาแผนปัจจุบัน
ปัญหาที่เกิดจากการใช้สมุนไพรหรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เช่น รับประทานเกินขนาดหรือต่อเนื่องเกินไปจนส่งผลเสียต่อตับ รวมถึงผลข้างเคียงอื่นๆ ที่เกิดจากการใช้สมุนไพรที่ไม่ถูกวิธี ซึ่งปัญหาที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือ อาการไม่พึงประสงค์ของผู้ที่รับประทานสมุนไพรร่วมกับยาที่ใช้ในการรักษาโรคประจำตัวหรือยาแผนปัจจุบันบางประเภท ซึ่งบางครั้งก็อาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
ดังนั้น ก่อนที่จะรับประทานยา วิตามิน สมุนไพรหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใดๆ ร่วมกัน จึงควรศึกษาให้ดีก่อน ว่าแต่ละอย่างมีสรรพคุณอย่างไร ถ้ารับประทานร่วมกันแล้วจะก่อให้ประโยชน์หรือโทษอย่างไรบ้าง
5 กลุ่ม ยา วิตามินและอาหาร ที่ไม่ควรรับประทานร่วมกัน
ยา |
ไม่ควรรับประทานกับ |
เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงดังนี้ |
ยารักษาเบาหวานหรือ อินซูลิน (Insulin) |
มะระขี้นก ว่านหางจระเข้ โสม แมงลัก พืชตระกูลลูกซัด ผักเชียงดา และ อาหารเสริมที่มีแร่ธาตุโครเมียม (Chromium) |
จะเสริมการออกฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดทำให้น้ำตาลลดลงมากเกินไป อาจเกิดอาการหัวใจเต้นเร็ว เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ สายตาพร่า เหงื่อออกมาก หิวบ่อย อ่อนเพลีย |
Nifedipine, Felodipine (ยาลดความดันโลหิต) และ Simvastatin, Atorvastatin (ยาลดไขมันในเลือด) |
น้ำเกรปฟรุต |
ทำให้ปริมาณยาสูงหลายเท่าในกระแสเลือด อาจส่งผลให้เกิดพิษจากยาได้ |
ยาละลายลิ่มเลือดหรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Aspirin, Warfarin) |
น้ำมันคานูล่า (canola oil) หรือน้ำมันดอกคำฝอย (safflower oil) น้ำมันปลา (Fish oil) น้ำมันดอกอีฟนิ่ง (Evening primrose oil) ตังกุย (Dong quai), กระเทียม (Garlic), แปะก๊วย (Ginkgo), ขิง (Ginger) |
เสริมฤทธิ์ของยาทำให้เลือดออกง่ายขึ้น หากทานปริมาณที่มาก (ควรทานในปริมาณที่พอเหมาะ เช่น ปรุงในอาหารได้ตามปกติ แต่ไม่ควรทานในรูปของอาหารเสริมหรือสารสกัดเข้มข้น) |
ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น Warfarin |
ผักใบเขียว ยอ ชาเขียว ถั่วเหลือง บรอกโคลี และ อาหารเสริมโคเอ็นไซม์คิวเท็น (Coenzyme Q10) |
ลดฤทธิ์ของยาหรือต้านการออกฤทธิ์ของยาทำให้ระดับยาในเลือดไม่เพียงพอต่อการรักษา |
ยาปฏิชีวนะกลุ่ม fluoroquinolone เช่น ยา norfloxacin, ciprofloxacin และยาปฏิชีวนะกลุ่ม tetracycline |
นม โยเกิร์ตหรือยาลดกรด ยาเคลือบกระเพาะอาหาร และแคลเซียม |
ยาสามารถเกิดสารประกอบเชิงซ้อนกับประจุบวกของธาตุแคลเซียม (ในนมและโยเกิร์ต) และแคลเซียม แมกนีเซียม อลูมิเนียม (ในยาลดกรด) ทำให้ยาดูดซึมได้ลดลง ระดับยาในเลือดไม่เพียงพอต่อการรักษา |
5 กลุ่ม ยา วิตามินและอาหาร ที่ควรรับประทานร่วมกัน
ส่วนที่ละลายได้ดีในไขมัน ควรรับประทานพร้อมมื้ออาหารที่มีไขมัน และถ้าต้องรับประทานวิตามินในมื้อเดียว ให้เลือกมื้อที่ใหญ่ที่สุดของวัน หรือรับประทานครึ่งหนึ่งหลังอาหารเช้า ครึ่งหนึ่งหลังอาหารเย็นก็ได้เช่นกัน
ยา |
ควรรับประทานกับ |
เพราะ |
วิตามินเอ ดี อี หรือเค |
หลังอาหารมื้อใหญ่หรือมื้อที่มีไขมันจากสัตว์หรือจากพืช หรืออาหารเสริมกลุ่มน้ำมันปลา |
ช่วยให้วิตามินดูดซึมได้ดีในร่างกาย |
ธาตุเหล็ก |
วิตามินซี หรือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว |
ช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น |
แคลเซียม |
วิตามินดี หรืออาหารที่อุดมด้วยวิตามินดี เช่น เห็ด นม ปลา ชีส |
ช่วยให้แคลเซียมดูดซึมได้ดีขึ้นในลำไส้เล็ก |
คอลลาเจนเปปไทด์ ชนิดโมเลกุลเล็ก |
วิตามินซี |
ช่วยเสริมการทำงานของกันและกันในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของผิวพรรณ |
โคเอนไซม์คิวเท็น |
หลังอาหารมื้อใหญ่หรือมื้อที่มีไขมันจากสัตว์หรือจากพืช |
ช่วยให้โคเอนไซม์คิวเท็นดูดซึมได้ดีในร่างกาย |