ยายชาวโคราชถูกสวมชื่อกลายเป็นเจ้าของธุรกิจเงินล้าน ทำให้ชวดเงินเยียวยา ล่าสุดหลานโทรมาสารภาพผิดแล้ว
นางศิรินภา อายุ 62 ปี ชาวตำบลรังกาใหญ่ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ได้นำเอกสารการเสียภาษีของบริษัทแห่งหนึ่ง เข้าร้องทุกข์กับศูนย์ดำรงธรรมอำเภอพิมาย หลังจากถูกนำชื่อไปใช้เสียภาษีประจำปีของบริษัทแห่งหนึ่ง เป็นระยะเวลา 8 ปี โดยถูกระบุว่า มีเงินได้ในปี 2562 เป็นเงิน 1,028,640 บาท และหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย 30,859 บาท 20 สตางค์ ทำให้ไม่ได้รับสิทธิ์ประโยชน์เยียวยาช่วงโควิด-19 ระบาดจากรัฐบาล เพราะมีชื่อเป็นเจ้าของบริษัท ทั้งๆ ความจริงเป็นเพียงชาวบ้านคนหนึ่ง มีอาชีพรับจ้างทั่วไปเท่านั้น
โดยนางศิรินภา บอกว่า เมื่อ 8 ปีที่ผ่านมา ตนเคยไปทำงานเป็นแม่บ้านที่บริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดระยอง แต่หลังจากสามีป่วยจึงได้ลาออกมารับจ้างทำงานอยู่ที่บ้านในจังหวัดนครราชสีม ซึ่งช่วงที่ตนสมัครเป็นแม่บ้านของบริษัทที่จังหวัดระยองนั้น ตนได้ยื่นเอกสาร สำเนาทะเบียนและสำเนาบัตรประชาชนไว้ตามระเบียบของบริษัท กระทั่งลาออกมาอยู่บ้าน ก็เป็นระยะเวลา 8 ปีแล้ว และในช่วงที่รัฐบาลมีโครงการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 โครงการเราชนะ โครงการคนละครึ่ง และ โครงการต่างๆ ตนได้สมัครเข้ารับสิทธิ์ประโยชน์ แต่กลับไม่ได้รับสิทธิ์ เพราะทางระบบตรวจพบว่า ตนเป็นเจ้าของบริษัทประกอบธุรกิจ มีรายได้ปีละกว่า 1 ล้านบาท และต้องหักจ่ายภาษี ณ ที่จ่าย ปีละกว่า 3 หมื่นบาท ทำให้ตนรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก และไม่ทราบเรื่องมาก่อนว่า ตนไปเป็นเจ้าของบริษัทตั้งแต่เมื่อไหร่
จึงได้นำเอกสารต่างๆ เข้าร้องทุกข์กับศูนย์ดำรงธรรมอำเภอพิมาย เพื่อขอให้ช่วยเหลือ เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นคนเอาชื่อไปใช้ในการเสียภาษีของบริษัท และอยากให้บริษัทที่แอบอ้างชื่อของตนไปใช้เสียภาษี ได้ออกมาแสดงความรับผิดชอบด้วย อีกทั้งเมื่อตนไปเช็คเงินในบัญชีธนาคาร มีเงินเข้าบัญชี 3 แสนกว่าบาท ก็เป็นเงินที่ลูกสาวส่งมาให้ซ่อมแซมบ้านเท่านั้น ไม่มีรายได้อื่นหมุนเวียนในบัญชีธนาคารแต่อย่างใด ซึ่งหลังจากนี้ จะได้นำเอาหลักฐานทั้งหมดเข้าแจ้งความกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อเอาผิดบริษัทที่เอาชื่อของตนไปใช้เสียภาษีโดยมิชอบ เพราะตนเองเป็นแค่ชาวบ้านคนหนึ่ง ที่หารับจ้างทั่วไปเท่านั้น มีรายได้วันละไม่กี่ร้อยบาท
ล่าสุด วันนี้ (27 มี.ค.64) นางศิรินภา ได้เปิดเผยความคืบหน้าว่า คนที่เอาเอกสารของตนไปให้กับบริษัทใช้เสียภาษี ก็คือหลานของตนนั่นเอง ซึ่งทำงานเป็นหัวหน้างานในบริษัทดังกล่าว โดยในช่วงที่ตนเคยไปทำงานเป็นแม่บ้านให้กับบริษัท และเคยไปอาศัยอยู่บ้านพักเดียวกันกับหลานคนดังนี้เมื่อ 8 ปีที่แล้ว หลานได้เอาเอกสารของตนไปใช้ โดยหลังเป็นข่าวขึ้นมา หลานของตนได้โทรศัพท์ติดต่อขอยอมรับผิดว่า เป็นคนเอาเอกสารไปให้บริษัทใช้ในการยื่นเสียภาษีจริง ซึ่งอ้างว่า ทำไปโดยไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องบานปลายถึงขั้นนี้ จนตนต้องถูกตัดสิทธิ์ได้รับการเยียวยาตามโครงการต่างๆของรัฐบาล โดยพร้อมที่จะรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น