บริเวณแยกราชประสงค์ สถานที่นัดหมายชุมนุมของแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม และกลุ่มแนวร่วมอื่นๆ ซึ่งประกาศนัดชุมนุมใหญ่ ในลักษณะการชุมนุมแบบมีเวทีหลัก และมีการ์ดดูแลความปลอดภัยให้กับผู้ชุมนุม พร้อมทั้งปฏิเสธการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ โดยจะมีผู้ปราศรัยหลักในการชุมนุมครั้งนี้คือ เบนจา อะปัญ , ครูใหญ่ อรรถพล บัวพัฒน์ และ มายด์ ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล นอกจากนี้มีรายงานด้วยว่า ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีเจ้าหน้าที่ชุดควบคุมฝูงชนตรึงกำลังไว้จำนวนหนึ่ง พร้อมทั้งนำรถฉีดน้ำแรงดันสูงมาประจำการไว้ภายในด้วย
เวลา 16.50 น. ผู้ชุมนุมและทีมจัดการชุมนุมได้ ซึ่งมารอเวลาอยู่บริเวณแยกราชประสงค์ได้ทยอยลงถนนเพื่อปิดพื้นที่การจราจร จากนั้นไม่นานมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาแจ้งว่าการกระทำดังกล่าว ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ก่อนจะถูกมวลชนโห่ไล่กลับไป
กระทั่งเวลา 17.10 น. กลุ่มผู้ชุมนุมสามารถปิดพื้นที่สำหรับการชุมนุมได้สำเร็จ และได้จัดตั้งเวทีโดยการนำรถกะบะสองคันถอยหลังเข้าหากัน
โดยเบื้องต้นพบว่า มวลชนที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่แล้วมีประมาณ 1,000 คน มีทั้งกลุ่มคนรุ่นใหญ่ และผู้ใหญ่วัยทำงาน ซึ่งส่วนใหญ่ใส่เสื้อสีดำ นอกจากนี้ยังสังเกตุได้ว่า มีมวลชนทยอยเดินทางเข้ามาสมทบในพื้นที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้เจ้าหน้าที่ได้ทำการปิดทางเชื่อมระหว่างสถานีรถไฟฟ้า BTS สยาม กับสถานี BTS ชิดลมก็ตาม นอกจากนี้มีรายงานด้วยว่า ภายในสำนีกงานตำรวจแห่งชาติมีเจ้าหน้าที่ชุดควบคุมฝูงชนตรึงกำลังไว้จำนวนหนึ่ง พร้อมทั้งนำรถฉีดน้ำแรงดันสูงมาประจำการไว้ภายในด้วย
ยิ่งชีพ ชี้ ม.112 มีปัญหาสารพัด ย้ำสิทธิประกันตัวเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน
ในการชุมนุมปราศรัยของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ และการชุมนุม ที่แยกราชประสงค์ ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการ iLaw ได้ร่วมปราศรัยถึงเรื่องปัญหาของกฎหมายมาตรา 112 หรือกฎหมายหมิ่นประมาทกษัตริย์ ยิ่งชีพระบุว่า ตอนนี้เพื่อนเรา ผู้ออกมาเคลื่อไหวทางการเมืองหลายคนต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ เพราะ รัฐบาลประยุทธ์ควักไพ่ตายใบสุดท้ายออกมาใช้คือ มาตรา 112 และเป็นการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือที่ถือว่าทำลายทุกสถิติที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
เขากล่าวต่อถึงปัญหาของมาตรา 112 ว่า เป็นกฎหมายที่จำกัดเสรีภาพในการพูดถึงปัญหาของการเมืองไทย ทำให้ทุกคนเกิดความกลัวไม่กล้าที่จะพูดถึงปัญหาของการเมืองไทยได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองแบบไหนก็ตาม ทุกคนต่างเลือกที่จะเงียบ เพราะโทษของกฎหมายมาตรา 112 มีโทษมากถึง 15 ปี ซึ่งเทียบเท่ากับโทษของการเตรียมการกบฎ ในขณะหลายกรณีของมาตรา 112 เกิดจาดการพูดเเสดงความคิดเห็นเท่านั้น
ซัดขยายขอบเขตการตีความ
นอกจากนี้ ยิ่งชีพ ยังระบุถึงปัญหาขอบเขตการตีความความผิดที่เข้าข่ายมาตรา 112 ว่า ถูกตีความออกไปไกลมาก มีทั้งการดำเนินคดีกับคนโพสต์เสียดสีสุนัขทรงเลี้ยง หรือกรณีของแม่จ่านิว มีคนเเชทมาคุยเรื่องสถาบัน แล้วตอบกลับไปแค่ “จ้า” ก็ถูกดำเนินคดี 112 จนปัจบันไม่รู้ว่าขอบเขตของกฎหมายมาตรานี้อยู่ที่ไป
นอกจากนี้ในกระบวนการยุติธรรมเองก็มีปัญหาตั้งแต่ชั้นตำรวจ เมื่อมีคดีเข้ามาถึงมือตำรวจ แม้ตำรวจจะเห็นว่าไม่น่าเป็นความผิด แต่ถ้าไม่สั่งฟ้องก็กังวัลว่าจะเกิดปัญหากับตัวเอง เมื่อคดีเข้ามาอยู่ในมือตุลาการ ตุลาการบางคนอยากพิพากษายกฟ้องแต่ก็ไม่กล้า เพราะจะต้องส่งคำพิพากษาไปยังอธิบดีผู้พิพากษาภาคตรวจก่อน
คุมขังโดยไม่มีความผิด
ทุกวันนี้มีเพื่อน 13 คนที่อยู่ในเรือนจำด้วยมาตรา 112 แต่ไม่มีคนใดเลยที่ถูกศาลพิพากษาว่ามีความผิด บางคนโดนฝากขังในชั้นตำรวจ บางคนโดนขังระหว่างพิจารณาคดี ทั้งที่หลักการพื้นฐานคือ ผู้ถูกกล่าวหาจะต้องถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่การที่เพื่อนเราทุกคนเข้าไปอยู่ในเรือนจำเวลานี้ถือเป็นการลงโทษก่อนมีคำพิพากษา
“หลักการพื้นฐานนี้ ผมเชื่อครับไม่ต้องเรียนกฎหมายทุกคนก็ทราบ ตำรวจทุกคนทราบ อัยการทุกคนทราบ ผู้พิพากษาก็ทราบ แต่ปัญหาเดียวคือ จะกล้าหรือไม่กล้าเท่านั้นที่จะสั่งอะไรให้เป็นไปตามกฎหมาย ตอนนี้ครับพี่น้อง เราต้องการผู้พิพากษาที่กล้าหาญกว่าครั้งใดๆ ในประวัติศาสตร์
เราต้องการผู้พิพากษาคนนั้นอาจจะเป็นเพียงคนเดียวก็ได้ คนคนเดียวที่เราต้องการ ท่านั่งอยู่ในตำแหน่ง ท่านสวมครุย ท่านกินเงินภาษีมาไม่รู้กี่ปี ไม่กี่แสนกี่ล้านบาท เราขอท่านหนึ่งคน ครั้งเดียว คืนสิทธิประกันตัว คืนสิทธิขั้นพื้นฐานให้เพื่อนเรามันมากไปไหมครับ”
เบนจา ราษฎรไม่ใช่กบฎ ย้ำประชาชนรู้หมดแล้วว่าใครอยู่เบื้องหลัง
เบนจา อะปัญ แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ขึ้นเวทีปราศรัย ชี้ที่ผ่านมาผู้ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยถูกรัฐ กระทำเสมือนว่าเป็น กบฎ แต่แท้จริงแล้วคือคนที่ฉีกรัฐธรรมโกงเลือกตั้ง และสนับสนุนการรับรองการรัฐประหาร
เบนจา ระบุต่อว่าเวลานี้ชัดเจนแล้วว่า รัฐจงใจใช้กฎหมายมาตรา 112 เพื่อหยุดความเคลื่อนไหว และปิดปากประชาชน หาก 112 กลายเป็นแค่เครื่องมือในการจัดการผู้คิดต่าง ฉะนั้นก็จำเป็นต้องยกเลิกกฎหมายมาตรานี้ เบนจาเชื่อว่าเพื่อนหลายคนที่ในเรือนจำเวลานี้ก็ชูสามนิ้วเหมือนกันกับคนที่อยู่ที่ราชประสงค์ในเวลานี้ และอยากให้คนที่ถูกสั่งขังได้เห็นภาพที่ประชาชนออกมารวมตัวกันจำนวนมากในวันนี้
จากนั้นเบนจาได้อ่านจดหมายจาก เพนกวิ้น พริษฐ์ ชิวารักษ์ หนึ่งในแกนนำราษฎร มีใจความดังนี้
“ถึง พ่อแม่พี่น้องผู้รักประชาธิปไตยในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ด้วยหนึ่งสมองและสองมือของพี่น้องราษฎรทุกคน เราได้ทำลายหลังคาที่ปิดบังไม่ให้เราได้เห็นฟากฟ้าจนพังทลายและเมื่อเพดานหลังคาเปิดกว้างจนเราได้เห็นฟ้า เราจึงรู้ว่าแท้จริงแล้วฟ้าไม่ได้สูงอย่างที่เราคิด หากต่ำเสียจนคนบนดินต้องมอบราบกราบก้มตลอดเวลา เพราะฟ้าไม่สูงพอจะมีที่ให้คนยืนหลังตรงได้
เมื่อแสงสว่างได้ส่องมาแล้ว ความมืดมิดก็ไม่อาจจะปิดตาคนได้อีก เมื่อความจริงถูกเปิดเผย เผด็จการศักดินาก็ไม่อาจจะยืนอยู่บนหัวคนได้เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะเผด็จการศักดินารู้ตัวเองว่าเหลือวันเวลาไม่มากนัก จึงใช้ทุกวิถีทางเพื่อยืดอายุขัยของตัวเองไปให้ได้ยาวนานที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการใช้มาตรา 112 พร่ำเพรื่อ
การใช้ศาลแบบไม่อายฟ้าอายดิน และการใช้ความรุนแรงกับประชาชนแบบไม่สนใจโลก ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นพิษร้ายที่กร่อนทำลายเผด็จการศักดินาให้สูญสิ้นลงไปภายหลัง เป็นเครื่องรับประกันว่าความล่มสลายของเผด็จการศักดินานั้นไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และการต่อสู้ของประชาชนได้มาถึงจุดที่ไม่มีคำว่าแพ้เหลือแต่ชัยชนะที่เห็นอยู่เบื้องหน้าและจะต้องเดินไปให้ถึงเพียงเท่านั้นขอให้ทุกคนตั้งตามองตรงไปยังเป้าหมาย ไม่หลงเลือนอุดมการณ์ที่เรามีร่วมกัน จับมือและกอดคอกันให้มั่น ฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกันจนถึงวันที่ฝันของเรา ฝันที่วีรชนประชาธิปไตยหลายต่อหลายรุ่นได้ฝันมาอย่างต่อเนื่องจะเป็นจริง
ผมยังคงต่อสู้อยู่ข้างในคู่ขนานไปกับพี่น้องที่ต่อสู้ข้างนอก เมื่อถึงวันนั้นวันที่ประเทศไทยไม่มีปรสิตสิงสูบเลือดประชาชน วันที่ประเทศไทยจะไม่มีการรัฐประหาร วันที่ประเทศไทยจะไม่มีกฎหมายปิดปากประชาชน เราจะร่วมฉลองชัยชนะไปด้วยกัน หรือหากร่างกายผมไม่อาจอยู่ร่วมฉลองจิตวิญญาณของผมจะยังคงอยู่ยินดีเคียงข้างพี่น้องทุกคนตลอดกาล”