ฟุตบอลโลก 2022 ปิดฉากลงไปแล้ว แน่นอนว่ามีนักเตะบางคนโชว์ฟอร์มโดดเด่นเหนือคนอื่น ทีมงานข่าวสดจึงขอจัด 11 ผู้เล่นยอดเยี่ยม โดยใช้แผน 4-2-3-1 ดังนี้
11 นักเตะยอดเยี่ยม ฟุตบอลโลก 2022 จากทีมงานข่าวสด
ผู้รักษาประตู : โดมินิก ลิวาโควิช (โครเอเชีย)
แม้จะไม่ได้รับรางวัลผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ แต่การที่โครเอเชียมาไกลจนถึงอันดับ 3 พูดได้เต็มปากว่าถ้าไม่มีลิวาโควิช ทีมไม่มีทางมาถึงจุดนี้ได้เลย
ตลอดทัวร์นาเมนต์นี้ ลิวาโควิชเก็บคลีนชีตได้ 2 นัด ทำสถิติเซฟไปทั้งหมด 23 ครั้ง สูงสุดเหนือใครอื่น แม้แต่คนได้รับรางวัลอย่าง เอมิเลียโน มาร์ติเนซ ด้วยซ้ำไป
แต่ที่สำคัญสุดคือการเซฟจุดโทษถึง 3 ครั้งในแมตช์เจอญี่ปุ่น ต่อด้วยเซฟจุดโทษอีก 1 ครั้งแมตช์เจอบราซิล เชื่อว่าแฟนบอลจะไม่มีทางลืมความหนึบนี้ของเจ้าตัวอย่างแน่นอน
แบ๊กขวา : อัชราฟ ฮาคิมี (โมร็อกโก)
การที่โมร็อกโกจบอันดับ 4 ฟุตบอลโลก แม้จะมาจากนักเตะทั้งทีมเล่นดี แต่ฮาคิมีก็มีความโดดเด่นเหนือคนอื่นพอสมควร
ฮาคิมีเล่นเกมรับไม่ขาดตกบกพร่อง เข้าปะทะชนะคู่แข่ง 17 ครั้ง มากสุดในบรรดานักเตะกองหลัง บวกกับตัดบอลอีก 35 ครั้ง ด้านเกมรุกก็จ่ายให้เพื่อนยิงได้ 1 ประตู
เซนเตอร์แบ๊ก : โรแม็ง ซาอิสส์ (โมร็อกโก)
ซาอิสส์ผู้เป็นกัปตันทีมชุดนี้ ทำหน้าที่หัวใจในแนวรับของทีมอย่างดี และเป็นกุญแจสำคัญที่ส่งโมร็อกโกทะยานสูงแบบเหลือเชื่อ
โดยซาอิสส์มีสถิติการเคลียร์บอลสำเร็จ 30 ครั้ง มากสุดเป็นอันดับ 2 ของทัวร์นาเมนต์ นอกนั้นยังตัดบอล 8 ครั้ง และบล็อกลูกยิง 1 ครั้ง
เซนเตอร์แบ๊ก : ยอสโก กวาร์ดิโอล (โครเอเชีย)
แม้จะอยู่ในวัยเพียง 20 ปี แต่กวาร์ดิโอลก็ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักในแนวรับของโครเอเชียเรียบร้อย
โดยทัวร์นาเมนต์นี้ กวาร์ดิโอลเคลียร์บอลได้ 33 ครั้ง เป็นสถิติสูงสุด และตัดบอลอีก 8 ครั้ง ไม่เพียงเท่านั้น กวาร์ดิโอลยังสามารถทำประตูในแมตช์ชิงอันดับ 3 อีกด้วย
แบ๊กซ้าย : เธโอ แอร์กน็องเดซ (ฝรั่งเศส)
เดิมทีแข้งรายนี้มีสถานะเป็นตัวสำรอง แต่เมื่อพี่ชายอย่าง ลูกัส แอร์กน็องเดซ ได้รับบาดเจ็บ น้องชายจึงต้องลงมาเล่นแทนและทำได้ดีมากด้วย
แอร์กน็องเดซเป็นแบ๊กซ้ายที่เติมเกมรุกอย่างดุดัน ทัวร์นาเมนต์นี้ยิงไป 1 ประตู จ่ายให้เพื่อนยิงอีก 2 ประตู ส่วนเกมรับก็เข้าปะทะชนะคู่แข่ง 11 ครั้ง
กองกลางตัวรับ : โซฟียาน อัมราบัต (โมร็อกโก)
ส่วนหนึ่งที่ทำให้เกมรับของโมร็อกโกเหนียวแน่น ต้องยกเครดิตให้การทำหน้าที่ตัดเกมแดนกลางของอัมราบัตด้วย
โดยอัมราบัตมีสถิติเข้าปะทะชนะคู่แข่ง 10 ครั้ง ตัดบอล 22 ครั้ง และต้องถอยลงไปช่วยเคลียร์บอลอีก 10 ครั้ง ส่วนการจ่ายบอลก็เข้าเป้า 83.5%
กองกลางตัวรับ : เอ็นโซ เฟร์นานเดซ (อาร์เจนตินา)
แม้อาร์เจนตินาจะขึ้นชื่อเรื่องเกมรุก แต่เฟร์นานเดซก็เป็นคนที่ทำให้สมดุลของทีมลงตัว จนเจ้าตัวได้รางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ด้วย
เฟร์นานเดซเข้าปะทะชนะคู่แข่งไป 15 ครั้ง ตัดบอล 25 ครั้ง และวิ่งไล่คู่แข่งในแดนกลางด้วยพลังล้นเหลือ จนผู้คนลืมจุดด่างพร้อยที่เจ้าตัวทำเข้าประตูตัวเองไปได้หมดจด
กองกลางตัวรุก : คีลิยัน เอ็มบัปเป (ฝรั่งเศส)
นอกจากรางวัลดาวซัลโวประจำทัวร์นาเมนต์ 8 ประตู เอ็มบัปเปยังมีบทบาทในแนวรุกของฝรั่งเศสอย่างมาก มีโอกาสยิงทั้งหมด 29 ครั้ง เลี้ยงบอลผ่านคู่แข่ง 25 ครั้ง
ที่สำคัญสุดหนีไม่พ้นการทำแฮตทริกในแมตช์ชิงชนะเลิศ แม้สุดท้ายทีมจะไม่ได้แชมป์ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าถ้าไม่มีเอ็มบัปเป เกมชิงชนะเลิศคงจบไปตั้งแต่ 90 นาทีแรกแล้ว
กองกลางตัวรุก : ลิโอเนล เมสซี (อาร์เจนตินา)
นี่เป็นฟุตบอลโลกเพื่อเมสซีอย่างแท้จริง เจ้าตัวเป็นกำลังสำคัญนำทีมคว้าแชมป์โลก พร้อมรับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ไปด้วย บวกกับรางวัลเพลเยอร์ ออฟ เดอะ แมตช์ ได้ไปอีกถึง 5 ครั้ง
โดยเมสซียิงไป 7 ประตู ได้ตำแหน่งรองดาวซัลโว นอกจากนี้ยังจ่ายให้เพื่อนยิงอีก 3 ประตู จ่ายบอลจังหวะสำคัญ 21 ครั้ง เลี้ยงบอลผ่านคู่แข่ง 15 ครั้ง
กองกลางตัวรุก : บรูโน แฟร์นานเดส (โปรตุเกส)
แม้โปรตุเกสจะจอดป้ายแค่รอบก่อนรองชนะเลิศ แต่แฟร์นานเดสถือเป็นคนสำคัญนำทีมมาถึงจุดนี้ ในวันที่ดาวดังอย่าง คริสเตียโน โรนัลโด ไม่ฉายแสง
โดยแฟร์นานเดสจ่ายให้เพื่อนยิง 3 ประตู เป็นสถิติสูงสุดร่วม แถมยิงเองอีก 2 ประตู จ่ายบอลจังหวะสำคัญ 9 ครั้ง เลี้ยงบอลผ่านคู่แข่ง 3 ครั้ง
กองหน้า : ฮูเลียน อัลบาเรซ (อาร์เจนตินา)
ต้องบอกว่าผิดคาดพอสมควรที่อัลบาเรซฉายแสงโดดเด่นในทัวร์นาเมนต์นี้ โดยยิงไป 4 ประตู อยู่อันดับ 3 ของดาวซัลโว
นอกจากนี้ อัลบาเรซยังประสานงานกับ ลิโอเนล เมสซี ได้อย่างลงตัว แถมแมตช์ที่ถล่มโครเอเชีย 3-0 อัลบาเรซก็มีส่วนกับทั้ง 3 ประตู