วันนี้(30 ก.ค. 67) น.ส.เปิ้ล อายุ 56 ปี ผู้เสียหายที่กระโดดเกาะกระโปรงหน้ารถ หลังถูกคู่กรณีชนแล้วหนี เดินทางมายัง สน.ดุสิต เพื่อเข้าพบคู่กรณีเป็นครั้งแรก
โดย น.ส.เปิ้ล เปิดเผยภายหลังเข้าพบคู่กรณีเป็นครั้งแรกว่า ทางคู่กรณีได้ยกมือไหว้ขอโทษ ซึ่งมีท่าทีที่นิ่งเงียบ แตกต่างจากวันที่เกิดเหตุอย่างสิ้นเชิง เพราะวันนั้นเขาลงจากรถมาชี้นิ้วต่อว่าต่างๆนานา แต่วันนี้เหมือนเป็นคนละคน ซึ่งเรื่องคดียืนยันว่าดําเนินต่อตามกฎหมายจนถึงที่สุด ส่วนค่ารักษาพยาบาลยังไม่สามารถสรุปได้เพราะล่าสุดแพทย์ระบุว่ามีซี่โครงราวเล็กน้อย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตํารวจบอกว่าให้รักษาพยาบาลให้แล้วเสร็จและจะนัดเข้ามาพูดคุยกันอีกครั้ง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าทางคู่กรณีได้บอกหรือไม่ว่าจะรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลหรือช่วยเหลือเยียวยาอะไรเบื้องต้นบ้าง น.ส.เปิ้ล ระบุว่า เขาแค่ยกมือบอกขอโทษแต่ไม่ได้บอกว่าจะช่วยเหลือหรือรับผิดชอบอะไร
ในส่วนของคดีที่แจ้งเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อหาชนแล้วหนีที่ สน.พญาไท นั้น ยังไม่ได้ไปตามเพิ่มเนื่องจากเจ็บซี่โครง ส่วนคดีที่ สน.ดุสิต เบื้องต้นคือข้อหาทําร้ายร่างกาย ยังไม่ได้แจ้งข้อหาพยามยามฆ่า เพราะทางตํารวจแนะนําว่า หากพยานหลักฐานไปไม่ถึงอาจถูกคู่กรณีฟ้องกลับได้ แต่หากในชั้นอัยการพบว่าพยานหลักฐานถึงขั้นพยายามฆ่าค่อยฟ้องเพิ่มเติมได้
ทั้งนี้ผู้เสียหายกล่าวทิ้งท้ายว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทําให้ตนไม่สามารถทํางานได้ และต้องหยุดพักรักษาตัวตามแพทย์สั่ง ซึ่งสูญเสียรายได้วันละประมาณ 1,000 – 2,000 บาท ขณะที่ทางด้านของคู่กรณีเดินทางมาพร้อมกับเพื่อนที่เป็นเจ้าของรถ
ขณะที่ หลังถูกสอบสวนอยู่นาน สาวคนขับบริโอสีขาว ก็ออกมาเผยกับสื่อว่า กรณีที่เฉี่ยวชนกันที่บริเวณหน้าโรงพยาบาลราชวิถี ตนไม่รู้เรื่อง และมารู้อีกทีตอนที่คู่กรณีตะโกนบอก ซึ่งตนก็พยายามโบกมือให้คู่กรณีชิดซ้ายเพื่อจอดมาพูดคุยกัน แต่ตนก็มีความคิดแทรกเข้ามาในหัวว่า ตนไม่มีใบขับขี่ กังวลว่าถ้าหากลงไปพูดคุยจะเกิดอันตราย ทำให้ตนเลือกที่จะขับรถยนต์ไปต่อ ถึงแม้ว่าคู่กรณีจะกระโดดเกาะฝากระโปรงหน้ารถก็ตาม ดูในระหว่างทางที่ขับรถวันนั้น ตนก็ยอมรับว่าเกิดอาการกลัวเป็นอย่างมาก เพราะตนไม่ใช่คนในพื้นที่
เช้าวันรุ่งขึ้น ตนก็มีความตั้งใจจะมาพบตำรวจ แต่ขณะนั้นมีญาติโทรมาสอบถามตนว่า ได้เตรียมเงินมาใช้ประกันตัวหรือไม่ ซึ่งตนไม่ได้เตรียมเงินมาจึงได้ขับรถกลับไปที่ จ.กาญจนบุรี ยืนยันว่าตนไม่เคยเสพสารเสพติด และในวันที่เกิดเหตุตนไม่ได้มีอาการมึนเมาสุราแต่อย่างใด ซึ่งในวันนี้ก็ได้มีการตรวจหาสารเสพติดก็ไม่พบว่ามีสารเสพติดในร่างกาย
สำหรับวันนี้ทันทีที่ตนได้เจอกับคู่กรณี ก็ได้มีการยกมือไหว้ขอโทษ แต่เข้าใจว่าคู่กรณีน่าจะอยู่ในอารมณ์ที่โกรธอยู่ จึงไม่ได้มีการพูดคุยอะไรกันมาก อยากจะขอโทษคู่กรณี และขอโทษสังคมกับสิ่งที่ตนทำไป