ในคำปราศรัย “I Have a Dream” หรือ “ข้าพเจ้ามีความฝัน” อันโด่งดัง มาร์ติน ลูเธอร์ คิง เรียกร้องให้คนทุกเชื้อชาติในสหรัฐอเมริกาได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม
หลายทศวรรษผ่านไป ยังมีสัญญาณมากมายที่สะท้อนว่า “ความฝัน” ของคิงยังไม่กลายเป็นจริง
บีบีซีไทยชวนทำความรู้จักนักต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมืองคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา และมาดูกันว่าเหตุใดการเรียกร้องของเขายัง “ทันสมัย” อยู่แม้เวลาจะผ่านไปหลายสิบปีแล้ว
ใครคือ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์
วันที่ 28 ส.ค. ปี 1963 มีคนราว 250,000 คนเดินทางไปยังอนุสรณ์สถานลินคอล์นที่กรุงวอชิงตันเพื่อฟังชายคนเดียวพูด
คิงเป็นศาสนาจารย์ของโบสถ์คริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ตามรอยปู่และพ่อของเขา เขาพูดถึงความฝันว่าวันหนึ่งลูก ๆ เขาจะได้ใช้ชีวิตในประเทศที่ผู้คนไม่ได้ถูกตัดสินเพราะสีผิว ฝันว่าวันหนึ่งความอยุติธรรมและการเหยียดเชื้อชาติจะหมดไป
การแบ่งแยกเชื้อชาติ
ในยุคที่คิงกำลังเติบโต มีการแบ่งแยกเชื้อชาติระหว่างคนผิวขาวและผิวดำตามกฎหมายที่รู้จักทั่วไปว่ากฎหมายจิมโครว์ คนผิวดำถูกแบ่งแยกออกจากคนผิวขาวทั้งในสถานที่สาธารณะและการให้บริการทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการห้ามเข้าโบสถ์ โรงพยาบาล โรงละคร โรงเรียน ห้องน้ำ แม้กระทั่งในรถเมล์ คนผิวดำก็ถูกไล่ให้ไปนั่งคนละโซนกับคนผิวขาว
กฎหมายในสมัยนั้นกำหนดความเป็นไปของชีวิตคนผิวดำ ทำให้พวกเขาได้รับค่าจ้างน้อยกว่า ที่อยู่อาศัยมีสภาพแย่กว่า และคุณภาพการศึกษาก็ไม่ดีเท่าของคนผิวขาว
กฎหมายการเลือกตั้ง
ที่สำคัญคือพวกเขาถูกกีดกันไม่ให้มีสิทธิเลือกตั้ง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องยากมากที่คนผิวดำจะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่เหยียดเชื้อชาติอย่างรุนแรงแบบนี้
แต่หลายทศวรรษผ่านไป ใครที่คิดว่าความฝันของคิงเป็นเรื่องของอดีตไปแล้วก็อาจจะต้องมานั่งพิจารณาใหม่ สมาชิกครอบครัวของคิงเองก็บอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเป็นเครื่องเตือนใจว่าความฝันของชายผู้ล่วงลับยังไม่เป็นจริง
ในรัฐต่าง ๆ ที่เคยมีกฎหมายแบ่งแยกสีผิวคน มีการออกกฎหมายที่เสนอโดยฝ่ายรีพับลิกันที่นักเคลื่อนไหวบางคนบอกว่าเป็นการตัดสิทธิ์เลือกตั้งของชนกลุ่มน้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนผิวดำ
กฎหมายเหล่านี้รวมถึงการตรวจสอบบัตรประจำตัวอย่างเคร่งครัดและก็ห้ามให้อาหารหรือน้ำคนที่ต่อคิวรอเลือกตั้งหลายชั่วโมง
โจ ไบเดน และโดนัลด์ ทรัมป์
หลังจากนายโจ ไบเดน ได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ มีการผ่านกฎหมายเหล่านี้ใน 19 รัฐ อาทิ ฟลอริดา เท็กซัส และแอริโซนา
โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ บอกว่าไบเดน “โกง” การเลือกตั้งแม้ว่าจะไม่สามารถพิสูจน์ข้อกล่าวหาผ่านกระบวนการทางกฎหมายได้
ในวันที่ 17 ม.ค. ซึ่งจะเป็นวันมาร์ติน ลูเธอร์ คิง ของปีนี้ (สหรัฐฯ กำหนดให้วันจันทร์ที่สามของเดือน ม.ค. เป็นวันมาร์ติน ลูเธอร์ คิง โดยให้เป็นวันหยุดประจำปี) ลูก ๆ ของคิงจะเรียกร้องให้คนไม่ใช่แค่จดจำพ่อพวกเขาเท่านั้นแต่ให้ตามรอยพ่อพวกเขาด้วยในการเรียกร้องกฎหมายที่จะปกป้องสิทธิ์ในการออกเสียงเลือกตั้ง
เบอร์นีซ คิง
Hello, family. Here is a message from me about commemorating #MLKDay, my mother’s work to establish a holiday in honor of my father’s life and legacy, and #MLKGlobal. Let’s educate, advocate and activate. #MLK #CorettaScottKing #ShiftingPriorities pic.twitter.com/UtJNy14V7l
— Be A King (@BerniceKing) December 17, 2021
เบอร์นีซ คิง ลูกสาวของคิงซึ่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของศูนย์มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างสันติ (Martin Luther King Jr Center for Nonviolent Social Change) ระบุผ่านทวิตเตอร์ว่า หากสิทธิ์ในการเลือกตั้งยังไม่ได้รับการคุ้มครองอย่างแน่นอน ทุกคนต้องใช้พิธีการรำลึกและเวทีต่าง ๆ ทำตามสิ่งที่พ่อเธอจะทำหากยังมีชีวิตอยู่
“พ่อฉันจะพูดและปฏิบัติเพื่อให้แน่ใจว่าประเทศนี้จะเป็นประชาธิปไตยอย่างที่ควรจะเป็นโดยกดดันวุฒิสภาของสหรัฐฯ และแทนที่จะใช้วันมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ เป็นวันหยุด พวกเขาควรจะใช้มันสำหรับผ่านรัฐบัญญัติว่าด้วยสิทธิการเลือกตั้ง”
เมื่อวันที่ 11 ม.ค. ประธานาธิบดีโจ ไบเดน พูดที่เมืองแอตแลนตา บ้านเกิดของคิง ว่า ประเด็นเรื่องสิทธิ์เลือกตั้งเป็น “การต่อสู้เพื่อจิตวิญญาณของอเมริกา”
“คุณอยากจะอยู่ข้างมาร์ติน ลูเธอร์ คิง หรือจอร์จ วอลเลซ” ไบเดนตั้งคำถาม โดยจอร์จ วอลเลซ ก็คืออดีตผู้ว่าการรัฐแอละแบมาที่สนับสนุนการแบ่งแยกเชื้อชาติในสมัยนั้น
- เอกสารลับเผย “มาร์ติน ลูเธอร์ คิง” เป็นคอมมิวนิสต์
- เติมสีให้ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมืองครั้งประวัติศาสตร์
- จากการค้าทาส สู่ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ถึง จอร์จ ฟลอยด์
โรซา พาร์คส์ และการคว่ำบาตรรถเมล์
เหตุการณ์สำคัญที่นำไปสู่การยกเลิกการแบ่งแยกเชื้อชาติคือตอนที่โรซา พาร์คส์ ผู้หญิงผิวดำถูกจับกุมเพราะปฏิเสธที่จะสละที่นั่งบนรถเมล์ให้กับชายผิวขาว
การจับกุมในครั้งนั้นนำไปสู่การเคลื่อนไหวต่อต้านโดยคว่ำบาตรไม่ใช้บริการรถเมล์ในเมืองมอนต์โกเมอรี รัฐแอละแบมา ยาวนานถึง 382 วัน นำโดยมาร์ติน ลูเธอร์ คิง
ต่อมา 21 ธ.ค. 1956 ศาลสูงสุดสหรัฐฯ ตัดสินว่าการแบ่งแยกที่นั่งบนรถโดยสารขัดต่อรัฐธรรมนูญ
กว่าที่จะได้ชัยชนะนั้นมา คิงต้องเผชิญกับการโจมตีและคุกคามต่าง ๆ นานา ไม่ว่าจะการถูกจับกุม บ้านถูกวางระเบิด แม้จะเผชิญกับความรุนแรงจากทั้งฝ่ายต่อต้านและตำรวจ คิงก็ยืนหยัดในการต่อสู้เคลื่อนไหวอย่างสันติโดยได้แรงบันดาลใจมาจากการต่อสู้ของมหาตมะ คานธี มหาบุรุษแห่งอินเดีย
ศาสตราจารย์คาทูชา เบนโต ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเชื้อชาติและลัทธิอาณานิคมจากมหาวิทยาลัยเอดินบะระ บอกว่า วิธีการแบบสันติของคิงมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นการยินยอม แต่จริง ๆ แล้ววิธีการของเขาสะท้อนให้เห็นว่าคิงอยากให้สันติวิธีเป็นวิถีการดำเนินชีวิตในสหรัฐฯ ให้เป็นสังคมที่ “ต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ เท่าเทียม และก็เสรี”
“March on Washington”
การเดินขบวนที่ชื่อ “March on Washington” เพื่อเรียกร้องให้คนมีงานและเสรีภาพ เป็นเหตุการณ์สำคัญของขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมืองในสหรัฐฯ คำกล่าวของคิงที่อนุสรณ์สถานลินคอล์นที่กรุงวอชิงตันไม่ได้กลายเป็นแค่หนึ่งในคำปราศรัยที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์เท่านั้น มันได้ปูทางไปสู่การผ่านรัฐบัญญัติสิทธิพลเมืองในปี 1964 ที่กำหนดให้การเลือกปฏิบัติจากสีผิว, เชื้อชาติ, ศาสนา, เพศ หรือชนชาติกำเนิด เป็นสิ่งผิดกฎหมาย
การสังหาร
คิงเคยถูกจับกุมและขังคุก 29 ครั้งด้วยกัน เมื่อวันที่ 4 เม.ย. ปี 1968 เขาถูกชายผิวขาวยิงด้วยปืนไรเฟิลขณะยืนอยู่หน้าห้องพักโรงแรมที่เมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี มือปืนที่ชื่อเจมส์ เอิร์ล เรย์ ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตและเสียชีวิตเมื่อปี 1998
อย่างไรก็ดี นายเรย์ยืนยันว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ และครอบครัวของนายคิงก็เชื่อแบบนั้นเช่นกัน ก่อนหน้านี้ คอเร็ตตา คิง ภรรยาของคิง เคยบอกว่า เธอเชื่อว่าสามีเธอถูกสังหารโดยการสมรู้ร่วมคิดของคนชั้นสูง
ความสำคัญในโลกปัจจุบัน
มีการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมืองมากมายที่ดำเนินตามรอยคิง
เบอร์นีซ ลูกสาวของคิง บอกว่า การประท้วงอย่างสันติเผยให้เห็นความอยุติธรรมต่าง ๆ ไม่ใช่แค่เรื่องสิทธิ์เลือกตั้งเท่านั้น แต่มี “ประเด็นพื้นฐานทางสังคมและเศรษฐกิจที่ไม่ได้เป็นภัยต่อประชาธิปไตยเท่านั้นแต่เป็นภัยต่อความเป็นมนุษย์ของเราด้วย”
เธอบอกว่า “ค่าแรงให้คนสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ ค่าที่พักอาศัยที่คนสามารถจ่ายไหว สาธารณสุข และการศึกษาที่มีคุณภาพ” เป็นเป้าหมายหลักของการเคลื่อนไหวด้านสิทธิพลเมือง
“Black Lives Matter”
กว่าครึ่งศตวรรษหลังการเสียชีวิตของนักต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมืองผู้นี้ แม้สหรัฐฯ มีประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีเป็นคนผิวดำไปแล้ว กระแสการชุมนุมประท้วงและก่อเหตุจลาจลทั่วสหรัฐฯ จากกรณีการเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ เมื่อปี 2020 สะท้อนให้เราเห็นว่าความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติยังฝังลึกในสังคมอเมริกันอยู่มากแค่ไหน
เบอร์นีซ คิง บอกว่า งานของเธอคือการผลักดันเรื่องนี้ไปให้ไกลกว่าสหรัฐฯ เป็นการเคลื่อนไหวระดับโลกในการกำจัดสิ่งชั่วร้าย 3 ประการที่พ่อของเธอพูดถึง นั่นก็คือ การเหยียดเชื้อชาติ แนวคิดวัตถุนิยมอย่างสุดโต่ง และแนวคิดสนับสนุนทหาร
……….
ข่าว BBCไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ข่าวสด เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว