ภูมิแพ้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลือกยาแก้แพ้ที่ปลอดภัยต่อสมอง: ไม่ทำให้ง่วง และไม่ผ่านเข้าสมอง!

Home » ภูมิแพ้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลือกยาแก้แพ้ที่ปลอดภัยต่อสมอง: ไม่ทำให้ง่วง และไม่ผ่านเข้าสมอง!

เมื่อภูมิแพ้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ 

ทุกวันนี้คนไทยมีอาการแพ้มากขึ้น ทั้งจากการแพ้อากาศ (Allergic Rhinitis) และผื่นคันลมพิษ (Urticaria) โรคภูมิแพ้อาจไม่ใช่โรคที่ร้ายแรง แต่ก็ทำลายคุณภาพชีวิตของเราได้ หากปล่อยไว้อาจจะมีอาการแพ้รุนแรง ถึงขั้นหายใจไม่ออก ทำให้ร่างกายมีภาวะขาดออกซิเจนได้

ยาแก้แพ้รุ่นเก่ามักทำให้เกิดอาการง่วงซึม ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น:

  • คนทำงานออฟฟิศ: การใช้ยาแก้แพ้ที่ทำให้ง่วง อาจทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง และเกิดความผิดพลาดในการทำงานได้ง่าย นอกจากนี้ อาการง่วงซึมยังทำให้การมีส่วนร่วมในการประชุมและการสนทนาในที่ทำงานลดลง ส่งผลต่อความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานและบรรยากาศในที่ทำงาน
  • นักเรียน: การใช้ยาแก้แพ้ที่ทำให้ง่วงสามารถทำให้ความสามารถในการเรียนรู้ลดลง มีปัญหาในการใช้สมาธิจดจ่อและเข้าใจบทเรียน ทำให้ผลการเรียนรู้ลดลง
  • คนขับรถ: หากใช้ยาแก้แพ้ที่ทำให้ง่วงอาจเป็นอันตรายอย่างมาก เพราะอาการง่วงซึมสามารถทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย

บอกลายาแก้แพ้เก่า เลือกยาที่ปลอดภัยต่อสมอง

ยาแก้แพ้ชนิดไม่ทำให้ง่วงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาอาการภูมิแพ้ โดยไม่กระทบกับการทำงานหรือการเรียน ยาแก้แพ้กลุ่มนี้มีการใช้มาอย่างยาวนานจากยาแก้แพ้ชนิดไม่ทำให้ง่วงรุ่นแรกๆ ที่ตัวยาอาจมีผลต่อสมองบ้าง จนพัฒนามาเป็นยาแก้แพ้ชนิดไม่ง่วงรุ่นใหม่ เช่น ไบแลสทีน (BILASTINE) ที่มีคุณสมบัติพิเศษ ไม่ผ่านเข้าสมอง ทำให้ไม่ง่วงและปลอดภัย สามารถใช้ได้ในคนอายุ 12 ปีขึ้นไป ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุโดยไม่จำเป็นต้องปรับขนาดยา

ในขณะที่ยาแก้แพ้ชนิดไม่ทำให้ง่วงรุ่นแรกๆ อย่างเซทริซีน (CETIRIZINE) และลอราทาดีน (LORATADINE) จะลดอาการง่วงนอนเมื่อเทียบกับยาแก้แพ้รุ่นเก่าอย่างคลอเฟนิรามีน (CHLORPHENIRAMINE) แต่ยังมีโอกาสที่ตัวยาจะผ่านเข้าสมองและทำให้บางคนยังมีอาการง่วงนอนได้ หลังจากนั้นได้มีการพัฒนาตัวยาแก้แพ้ชนิดไม่ทำให้ง่วงต่างๆ ตามมา ได้แก่ เฟกโซเฟนาดีน(FEXOFENADINE)  เลโวเซทิริซีน (LEVOCETIRIZINE)  เดสลอราทาดีน (DESLORATADINE)  และไบแลสทีน (BILASTINE)  ด้วยเหตุนี้การเลือกยาแก้แพ้ชนิดไม่ผ่านสมองจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาอาการภูมิแพ้โดยไม่กระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน

ทำความรู้จัก BILASTINE (ไบแลสทีน) ตัวยาแก้แพ้ชนิดที่ไม่ทำให้ง่วง และไม่ผ่านเข้าสมอง (Non Brain Penetrating and Non Drowsy Antihistamine) ที่ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงกว่ายาแก้แพ้ตัวเก่า

  • ออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงกับกระบวนการแพ้จากสารอักเสบฮิสตามีนมากกว่ายากลุ่มเก่า และยาไม่ผ่านเข้าสมอง จึงไม่ทำให้ง่วงซึม ไม่ทำให้สูญเสียสมาธิในการทำงาน
  • มีประสิทธิภาพในการรักษาอาการแพ้อากาศต่างๆ เช่น จาม น้ำมูกไหล คันจมูก คัดจมูก ตาแดง น้ำตาไหล และผื่นแดง คันจากลมพิษ
  • รักษาอาการจมูก เยื่อบุตาขาวอักเสบจากการแพ้ ทั้งชนิดแบบเฉพาะฤดูกาล และเป็นทั้งปี และใช้รักษาอาการผื่นคันจากผื่นลมพิษ
  • ไม่จำเป็นต้องปรับขนาดยาในคนไข้ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยไตบกพร่อง ผู้ป่วยตับบกพร่อง
  • ไม่เสริมฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง เมื่อใช้ร่วมกับแอลกอฮอล์ หรือยาลอราซีแพม
  • ไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงอื่นๆ เช่น อาการปากแห้ง คอแห้ง ตาพร่ามัว ปัสสาวะขัด

ยาแก้แพ้ เป็นการรักษาตามอาการมากกว่าการแก้สาเหตุ ดังนั้นหากรู้สาเหตุของสิ่งที่แพ้ และหลีกเลี่ยง การบําบัดตามอาการที่เกิดให้ลดลงได้ โดยการเลือกใช้ยาแก้แพ้อย่างถูกต้อง เพราะการใช้ยาทุกชนิด จะมีผลข้างเคียงของยา ดังนั้นการบรรเทาอาการแพ้ที่ดีที่สุด คือ หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ หมั่นออกกําลังกาย เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และใช้ยาในปริมาณที่เหมาะสมเท่าที่จําเป็น เพื่อความปลอดภัยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง

[Advertorial]

 

อ้างอิง:

แนวทางการดูแลโรคภูมิแพ้ฉบับพัฒนา ผศ.ภกญ.สิรินุช พละภิญโญ และ ผศ.ดร. ภก.ณัฐวุฒิ ลีลากนก
https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/allergy
https://www.finearts.go.th/chantaburilibrary/view/17353
https://www.paolohospital.com/th-TH/phrapradaeng/Article/Details
https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article
https://www.finearts.go.th/chantaburilibrary/view/17353 
https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ