หมอแชร์เคส “ซื้อยากินเอง” สุดท้ายมีสภาพปางตาย เตือนวิธีการใช้ยาผิดๆ และอาการแพ้ที่ถึงตายได้
ตามรายงานระบุว่า เมื่อเร็วๆ นี้ โรงพยาบาลทั่วไปประจำจังหวัดบั๊กนิญ ประเทศเวียดนาม ได้รักษาผู้ป่วยชายอายุ 60 ปี ซึ่งครอบครัวของเขาพาเข้ามาด้วยอาการไข้สูง มีแผลพุพองขนาดใหญ่ที่ฝ่าเท้า แผลในกระเพาะอาหาร หนองในเยื่อบุช่องปาก และปวดแสบปวดร้อน
โดยพบว่าก่อนหน้านั้นชายคนนี้มีแผลในปาก และซื้อยามารักษาด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตาม หลังจากกินยาได้ 2 วัน เขาก็เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง ในระหว่างการรักษา ตุ่มพองจะแตกและผิวหนังลอกออกเป็นหย่อมใหญ่ โชคดีที่สุขภาพของผู้ป่วยมีเสถียรภาพหลังจากการรักษาอย่างเข้มข้นเป็นเวลา 20 วัน
เดือดร้อนจากการใช้ยาอย่างไม่ระมัดระวัง
อีกรายเป็นผู้ป่วยอายุ 61 ปี ตรวจพบว่าเป็นเบาหวานและโรคเกาต์ที่คลินิกเอกชน หลังจากใช้ยาได้ 2 วัน ผู้ป่วยจะมีรอยโรคที่ผิวหนัง รวมถึงรอยแดงบริเวณคอและหน้าอก ร่วมกับแผลในเยื่อเมือกในช่องปากและอวัยวะเพศ หนึ่งวันหลังจากเข้ารับการรักษา โรคนี้รุนแรงขึ้น มีตุ่มพองขึ้นที่เท้าและมือ มีตุ่มหนองและผิวหนังสึกกร่อน และมีของเหลวไหลซึมที่หน้าอกและหลัง หลังจากรักษามาเกือบ 3 สัปดาห์ รอยโรคที่ผิวหนังก็หยุดมีของเหลวไหลซึม และอาการก็คงที่
แพทย์หัวหน้าภาควิชาโรคผิวหนัง โรงพยาบาลทั่วไปจังหวัดบั๊กนิญ กล่าวว่าอาการนี้เกิดจากการแพ้ยา ผู้ป่วยพัฒนาการตายของเซลล์ผิวหนังชั้นนอกที่เป็นพิษหลังจากรับประทานยา โดยมีลักษณะเป็นเนื้อร้ายแพร่กระจาย และการสูญเสียผิวหนังชั้นนอก
ผู้ร้ายที่ใหญ่ที่สุดคือ ยาปฏิชีวนะ
ขณะที่แพทย์จากศูนย์โรคภูมิแพ้และวิทยาภูมิคุ้มกันทางคลินิก โรงพยาบาลในฮานอย กล่าวว่า ยาทุกชนิด รวมถึงอาหารเพื่อสุขภาพ หรือยาที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ มีศักยภาพที่จะทำให้เกิดอาการแพ้ได้ อย่างไรก็ตาม อาการที่พบบ่อยที่สุดคือการแพ้ “ยาปฏิชีวนะ” โดยเฉพาะยาเพนิซิลลิน และซัลโฟนาไมด์ ซึ่งเป็นยาที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาภูมิแพ้บ่อยที่สุด
ส่วนปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการแพ้ยา ได้แก่ อายุ เพศ ความหลากหลายทางพันธุกรรม และการติดเชื้อไวรัสบางชนิด ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีประวัติครอบครัวแพ้ยา หรือมีเครื่องหมายทางพันธุกรรมบางอย่าง อาจมีความเสี่ยงสูงกว่า โดยการแพ้ยาเกิดขึ้นได้ในหลายระดับ อาการแพ้ที่พบบ่อยที่สุดจะเกิดขึ้นบนผิวหนัง เช่น ผื่นแดง ผื่นคัน ผู้ที่แพ้ยามักจะแพ้ยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ วิตามินแบบฉีด พาราเซตามอล ยาชา ยานอนหลับ ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาฮอร์โมนบางชนิด
toxic epidermal necrolysis เป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่รุนแรงและเป็นอันตราย อาการนี้อาจปรากฏขึ้นภายในไม่กี่ชั่วโมงถึงหลายวันหลังจากรับประทานยา ผู้ป่วยมักมีไข้สูง อ่อนเพลีย มีผื่นแดง ตุ่มพอง หรือผิวหนังลอกทั่วร่างกาย รู้สึกเหนื่อย คันทั่วร่างกาย มีอาการแสบร้อน มีไข้สูง ผื่นแดง มีตุ่มพองตามผิวหนัง โพรงตามธรรมชาติ เช่น ตา ปาก ลำคอ อวัยวะเพศ ทำให้เกิดแผลเปื่อย เยื่อเมือกของฟันผุ ซึ่งอาการเหล่านี้อาจมาพร้อมกับความเสียหายของตับและไต กรณีที่รุนแรงอาจทำให้เสียชีวิตได้
ยาที่สามารถทำให้เกิดกลุ่มอาการสตีเวนส์จอห์นสัน (Stevens Johnson Syndrome) ได้แก่ เพนิซิลลิน, แอมพิซิลลิน, สเตรปโตมัยซิน, เตตราไซคลิน นอกจากนี้ผู้ป่วยยังสามารถแพ้ยาแก้ปวด ยาลดไข้ ยาต้านวัณโรค ยาแก้ลมบ้าหมู ยารักษาโรคเกาต์ได้่นเดียวกัน กลไกการแพ้อย่างรวดเร็วอาจเกิดขึ้นทันทีหลังรับประทานยาประมาณ 2 ชั่วโมง ในขณะที่มีอาการแพ้ ปฏิกิริยาอาจเกิดขึ้นได้ทันทีหลังจากรับประทานยา ส่วนปฏิกิริยาล่าช้าเกิดขึ้นหลังจากสัมผัสยา 10 วัน
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายและมีอาการแพ้บางอย่าง (ต่อสภาพอากาศ อาหาร ฯลฯ) มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการแพ้ยา เมื่อไปพบแพทย์ผู้ป่วยต้องแจ้งให้แพทย์ทราบถึงยาที่ทำให้เกิดอาการแพ้ และหากโชคไม่ดีเกิดอาการแพ้ยา ควรหยุดยาที่กินอยู่ทันที กรณีมีอาการแพ้เล็กน้อย เช่นอาการคัน หรือลมพิษเล็กน้อย หลังจากหยุดยา 1-2 วัน อาการภูมิแพ้จะหายไป แต่หากมีอาการแพ้อย่างรุนแรง เช่นอาการบวมอย่างรุนแรง หายใจลำบาก อาเจียน ต้องยาที่กำลังใช้อยู่ไปที่ห้องฉุกเฉินทันที เพื่อที่แพทย์จะได้รู้ว่ายาชนิดใดที่ทำให้เกิดอาการแพ้ และให้การรักษาตามมาตรที่เหมาะสม
อัตราการเสียชีวิต 30%
Stevens-Johnson syndrome และ toxic epidermal necrolysis เป็นปฏิกิริยารุนแรงซึ่งมักเกิดจากยาโดยมีอาการบนผิวหนังและเยื่อเมือก แม้ว่าจะพบไม่บ่อย แต่ก็เป็นอันตรายและคุกคามชีวิตของผู้ป่วย ความถี่ของโรคในประชากรมีเพียงประมาณ 2/1,000,000 คน แต่มีอัตราการเสียชีวิตสูงมากถึง 30%
- หนุ่มอายุแค่ 29 ไม่ดื่ม-ไม่สูบ เป็นกรดไหลย้อน ซื้อยากินเหมือนทุกคน สุดท้ายเจอ “มะเร็ง”
- พนง.อายุน้อย ล้มตึงเป็นอัมพาต เพราะ 2 เมนูโปรด หมอเตือนหนุ่ม-สาว กินแทบทุกคน