"ฟลอร็องต์ อินดาเลซิโอ" : แรงงานก่อสร้างฟูลไทม์จากซิดนี่ย์สู่ "นักเตะอาชีพ" ของ นิวคาสเซิล

Home » "ฟลอร็องต์ อินดาเลซิโอ" : แรงงานก่อสร้างฟูลไทม์จากซิดนี่ย์สู่ "นักเตะอาชีพ" ของ นิวคาสเซิล
"ฟลอร็องต์ อินดาเลซิโอ" : แรงงานก่อสร้างฟูลไทม์จากซิดนี่ย์สู่ "นักเตะอาชีพ" ของ นิวคาสเซิล

“ว่าไงวัยรุ่น วันหยุดยาวของนายเป็นไงบ้าง?” กัปตันทีมของสโมสรเล็กๆในลีกประเทศออสเตรเลีย ตะโกนถามเพื่อนร่วมทีมของเขาคนหนึ่งที่กำลังขับรถมอเตอร์ไซค์ผ่านหน้าเขาไป

ในวันหยุดที่ชาวออสเตรเลียจะออกมาเจอกับแสงแเดดและใช้ชีวิตให้มีชีวา เสียงของคนๆนั้นตอบกลับมาว่า “ผมทำงานครับ เสาร์-อาทิตย์นี้ ผมขนอิฐจนปวดหลังไปหมดแล้วเนี่ย”

คนที่ตอบคำถามนี้มีชื่อว่า ฟลอร็องต์ อินดาเลซิโอ ในวัย 21 ปี เขาได้รู้ลิ้มรสคำว่า “ชีวิตจริง” ด้วยการเป็นแรงงานก่อสร้างฟูลไทม์

นอนวันละ 3 ชั่วโมง ทำงานวันละ 14 ชั่วโมง และต้องจากบ้านเกิดมาแบบข้ามโลก ทว่าความฝันไม่จำกัดอายุหรือระยะทาง ทุกวันนี้เขาได้สัญญานักเตะอาชีพฉบับแรกกับ นิวคาสเซิล ทีมดังของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เขาทำมันได้อย่างไร? 

และนี่คือเรื่องราวอันน่ามหัศจรรย์ของนักสู้ผู้ใส่รองเท้าสตั๊ด ติดตามได้ที่นี่..

ข้อเสียของเด็กเทพ 

หากคุณลองเข้า Google และพิมพ์ชื่อของ ฟลอร็องต์ อินดาเลซิโอ (Florent Indalecio) คุณจะแทบไม่พบประวัติของเขาในฐานะการเป็นนักฟุตบอลเลย ความทรงจำสุดท้ายของฟุตบอลที่เขาเคยหลงใหลและจำได้ว่าตัวเองเคยเป็นคนสำคัญ และเป็นผู้เล่นที่มีแนวโน้มจะกลายเป็นนักเตะระดับลีกสูงสุดในประเทศฝรั่งเศสคือตอนที่เขาอายุ 15 ปี ที่ตอนนั้นเขาอยู่กับศูนย์ฝึกอคาเดมีของทีม แซงต์ เอเตียนน์ ทีมในลีก เอิง ที่ทำผลงานได้ดีเสมอในช่วง 10 ปีให้หลัง 

1

ตอนอายุ 15 ปี ฟลอร็องต์ ถือว่าเป็นนักเตะที่ตีคู่กันมากับ อัลล็อง แซ็งต์-มักซิแม็ง ที่ปัจจุบันเป็นผู้เล่นระดับ “เอซ” ของสโมสร นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ทั้งคู่เป็นเด็กเก่งที่มีทักษะพื้นฐานแน่นปึ้ก ชอบเลี้ยงบอล มีความเร็ว และเหนือกว่าคนอื่นชัดเจน แต่ปัญหาของเด็กเก่งเหล่านี้คือ พอถึงอายุ 15 ปี หรือช่วงรอยต่อระหว่างการเล่นในระดับอคาเดมี เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นนักเตะในชุด ยู 18 รวมถึงระดับอาชีพ พวกเขายังไม่มีมุมมองที่กว้างมากพอ พวกเขาเห็นโลกฟุตบอลมาน้อยกว่าที่ตัวเองคิด และแน่นอนนักเตะบางคนก็ไม่ได้มีทัศนคติที่ดีนัก 

ฟลอร็องต์ ถือเป็นหนึ่งในนักเตะประเภทนั้น เก่งแต่เด็ก แต่เมื่อถึงระดับหนึ่งที่ต้องลงสนามใหญ่และต้องดวลกับเด็กเก่งในระดับเดียวกันจากทั่วประเทศ เขากลับไปต่อไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ทัศนคติมีผลต่ออนาคตของเขาแบบสุด ในการทดสอบเพื่อก้าวขึ้นไปอยู่ในรุ่น ยู 16 ที่เป็นรุ่นเตรียมความพร้อมก่อน ยู 18 และ ยู 23 ตามลำดับ เขากลับพบว่าตัวเองยังเก่งไม่พอ ฟลอรองต์ ไม่พัฒนาไปข้างหน้า ด้วยทัศนคติที่ย่ำแย่ ก่อนที่ แซงต์ เอเตียนน์ จะตัดเกรดและให้เขาออกจากทีมอคาเดมีไปในท้ายที่สุดโดยให้เหตุผลว่า “เด็กคนนี้มีปัญหาด้านพฤติกรรม” 

2

สำหรับเด็กอายุ 15 ปี ที่มีความฝัน พวกเขาวาดมันไปไกลเท่าที่จะคิดได้ และไม่เคยเผื่อไว้ว่าวันหนึ่งเส้นทางนั้นจะถูกตัดตอน และความผิดหวังครั้งนั้นทำให้เส้นทางอาชีพของเขาสั่นคลอนอย่างไม่น่าเชื่อ

“‘ถ้าทัศนคติของคุณไม่ดีพอ สโมสรจำเป็นจะต้องปล่อยตัวคุณออกไปนะ’ พวกเขาบอกผมแบบนี้ ผมรู้ทันทีว่าผมจะไม่ต่อสัญญาฉบับใหม่ ตอนนั้นผมอาจจะยโสจนไม่ได้รู้สึกอะไร แต่เมื่อนานวันเข้าคนเราก็จะได้เห็นความผิดพลาดของตัวเองชัดขึ้น เวลาผ่านไป 1-2 ปี ผมกลับมาทบทวนกับสิ่งนั้น และพบว่า ‘โคตรเสียดายเลย’ เพราะเมื่อคุณออกจากทีมระดับอาชีพแล้ว มันยากจริงๆที่จะกลับไปยังจุดเดิมได้” ฟลอร็องต์ ว่าเช่นนั้น 

สำหรับเรื่องนี้ จริงๆแล้วมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่นักเตะคนหนึ่งจะโดนคัดทิ้งจากระบบเยาวชน นักฟุตบอลเก่งๆหลายคนเคยประสบปัญหานี้ อาทิ เจมี่ วาร์ดี้ ที่โดนคัดทิ้งจาก เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ ตอนอายุ 15 ปี, ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ เคยถูกโค้ชสมัยเยาวชนบอกว่าตัวเล็กเกินไปจนไม่ต่อสัญญา, ลุค ชอว์ ถูก เชลซี บอกปัด หรือแม้กระทั่ง อองตวน กรีซมันน์ นักเตะทีมชาติฝรั่งเศสชุดแชมป์โลกปี 2018 ที่โดนทีมจากฝรั่งเศสปฏิเสธสัญญาครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนที่จะสู้และย้ายข้ามประเทศไปแจ้งเกิดที่สเปนกับ เรอัล โซเซียดาด 

3

ตัวอย่างที่กล่าวมาแสดงให้เห็นว่าแม้จะโดนปฏิเสธ แต่ถ้าตัวเองยังคงเชื่อมั่นในความฝันและพัฒนาตัวเองต่อไป อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น สำหรับเด็กอายุ 15 ปี แม้มันจะน่าผิดหวังที่โดนปฏิเสธ แต่มองในอีกแง่ พวกเขาก็แค่อายุ 15 ยังมีเวลาอีกเยอะ แต่สำหรับ ฟลอร็องต์ มันแปลกเกินที่เขาคิดไม่ได้แบบนั้น เขาใจเสียจากเหตุการณ์เพียงครั้งเดียว และมันทำให้เขาไม่ได้ลงเล่นในสโมสระดับอาชีพอีกเลย

แม้จะผ่านการเล่นให้กับทีมระดับท้องถิ่นอีก 2-3 ทีมในฝรั่งเศส แต่ก็ไม่มีอะไรที่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต เผลอแวบเดียว ฟลอร็องต์ ก็เข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านจากวัยรุ่น กลายเป็นคนที่บรรลุนิติภาวะเรียบร้อยแล้ว แถมยังมีปัญหาที่หัวเข่าหลังจากการผ่าตัดครั้งใหญ่ เขาอายุ 18 ปีแล้ว ไม่มีสโมสรเล่น และที่สำคัญกว่านั้นคือ “ไม่มีงานทำ” ดังนั้น มันถึงเวลาที่ต้องยอมรับความจริง และเลิกคิดอะไรครึ่งๆกลางๆ ถ้าเป็นนักฟุตบอลไม่ไหวก็ออกไปทำงาน แค่นั้นง่ายๆ นั่นคือสิ่งที่เขาพอจะนึกออก 

“ผมคิดว่าถึงเวลาที่ผมจะต้องเลิกเล่นแล้วล่ะ ผมไปที่โรงพยาบาลและคุณหมอบอกว่า ‘เลิกฝันเสียดีกว่า’ ผมพยายามหลายอย่างมากเพื่อจะกลับไปยังจุดเดิม ผมฟิตร่างกายจนเหมือนว่าอาการบาดเจ็บจะหายไป หลังจากนั้นผมเดินทางไปสหรัฐอเมริกาเพื่อคัดตัวกับสโมสรในไมอามี เป็นทีมระดับกึ่งอาชีพ ผมทำได้ดีมากเลยนะในการทดสอบ พวกเขาชอบและบอกว่าจะติดต่อมา”

4

“แต่เข่าเจ้ากรรมของผมน่ะสิ อยู่ดีๆมันก็เจ็บแปล๊บขึ้นมาแบบที่ไม่เคยเป็น ผมเล่นไม่ได้อยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ต้องกลับไปที่ฝรั่งเศสอีกครั้ง” 

เขาไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่ได้เก่งฟุตบอลเหมือนที่ตัวเองคิด แถมยังเดินทางผิดมาไกลพอสมควร ดังนั้น การอยู่ในฝรั่งเศส อาจจะเป็นเส้นทางที่เหมือนกับการตอกย้ำตัวเองจนอาจจะทำให้เขามูฟออนไม่ได้ ฟลอร็องต์ จึงตัดสินใจเดินทางไปต่างประเทศอีกครั้ง ปลายทางของตั๋วเครื่องบินที่เขาจองคือ “ซิดนี่ย์” เมืองใหญ่ในประเทศออสเตรเลีย และการข้ามโลกครั้งนี้เพื่อการเริ่มเป็น ฟลอร็องต์ คนใหม่

เริ่มใช้ชีวิต 

“ความจริงหลายอย่างปรากฏขึ้นเมื่อเดินทาง ผมได้รับรู้ว่าการเป็นนักฟุตบอลเนี่ย ถ้าคุณไม่สู้จนไปถึงระดับอาชีพ มันก็ยากที่จะใช้ชีวิตให้อยู่รอด ที่ฝรั่งเศสผมลงเล่นในดิวิชั่น 5 เงินที่ได้ต่อนัดมันน้อยมาก ไม่พอกับใบแจ้งหนี้ที่ส่งมาที่บ้านของผม ผมต้องจ่ายค่าเช่า, ค่าเดินทาง, ค่าอาหาร ผมต้องทำงานไปด้วยแต่ก็ไม่พอ ผมไปลงทะเบียนจัดหางานสำหรับผู้ว่างงานไว้ตลอด ทำงานหลายอาชีพเยอะแยะเต็มไปหมด” นั่นคือสิ่งที่เขาบอกในฐานะที่ตัวเองเริ่มเป็นผู้ใหญ่ 

การออกห่างบ้านเกิดมาด้วยตัวคนเดียวแม้ทำให้เกิดความเหงาและความคิดถึง แต่สำหรับบางคน โดยเฉพาะกับ ฟลอร็องต์ ที่ต้องการลืมและเริ่มสิ่งใหม่ ที่นี่อาจจะเป็นที่ที่เหมาะสม และเป็นการเดินทางที่เขาเฝ้ารอมาตลอดชีวิตก็ได้ แสงแดดส่องในทุกวัน ผู้คนก็ยอดเยี่ยม เป็นประเทศใหญ่ และมีค่าตอบแทนในการทำงานที่สมน้ำสมเนื้อ แค่นี้ก็ถือว่ามากพอสำหรับการเริ่มใช้ชีวิตในวัย 21 ปีของเขา 

5

ฟลอรองต์ เริ่มจากการเดินสมัครงาน และได้เข้าไปทำงานอยู่ในไซต์งานก่อสร้างแห่งหนึ่ง หน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมายคืองานที่เบสิคและต้องการทักษะในการก่อสร้างน้อยที่สุด แต่ก็ออกแรงหนักที่สุดในไซต์งานเช่นกัน นั่นคือการแบกหาม ประจำการที่รถขนอิฐ ซึ่งมีน้ำหนักไม่น้อยเลยทีเดียวถ้าใส่เข้ามาเต็มคันรถ 

มันคืองานที่ต้องใช้แรง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้เพราะ ฟลอร็องต์ พูดภาษาอังกฤษไม่เป็น ไม่มีประสบการณ์ด้านการก่อสร้าง และช่วงเวลาแห่งการใช้ชีวิตของเขาก็อาจจะมีไม่มากนัก เพราะวีซ่าของเขาไม่ได้เป็นวีซ่าแบบเข้ามาทำงาน แต่มันเป็นวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวช่วงซัมเมอร์เท่านั้น ไม่ลองก็ไม่รู้ เขาคว้าโอกาสนั้นไว้ และเป็นพนักงานขนอิฐในแบบ Full Time

“ผมไม่เคยทำงานก่อสร้างมาก่อน ภาษาอังกฤษก็พูดไม่เป็น ดังนั้น มันยากมากเลยที่จะทำงานไปพร้อมๆกับเล่นฟุตบอล เมื่อนั้นผมก็รู้ซึ้งแล้วว่าชีวิตจริงมันเป็นแบบนี้นี่เอง ผมทำให้หลายอย่างในตัวผมเปลี่ยนไปมาก”

“ผมต้องตื่นนอนตอนตี 4 หรือตี 5 เชื่อมั้ยตอนเป็นเด็กและยังเป็นนักฟุตบอลระดับเยาวชน ผมยังตื่นแบบนี้ไม่ได้เลย ผมรู้จักฟุตบอลมาตลอดชีวิต แต่ไม่เคยรู้ว่ารสชาติของชีวิตจริงๆมันเป็นยังไง” ฟลอรองต์ เล่าย้อนความไปยังชีวิตในแดนจิงโจ้ 

“เชื่อไหมล่ะ ผมมีเวลากินข้าวมื้อละ 30 นาทีระหว่างทำงาน บางวันก็ทำสองกะ ตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าถึงบ่ายสาม จากนั้นก็กลับไปบ้านไปหลับแปบนึง แล้วก็มาต่อช่วง 6 โมงเย็นถึงตี 2 ผมแทบไม่ได้หลับได้นอนเลยนะ เท่าที่จำความได้ ข้าวก็ไม่ค่อยได้กิน เงินที่ได้มาก็หนักไปทางซื้อกระทิงแดงกินมากกว่า” 

6

สำหรับเขาในเวลานั้นมีการเกิดปัญญามากขึ้นในหลากหลายข้อ หนึ่งในนั้นคือการได้รับรู้ว่าการเหนื่อยกายบางทีก็ไม่ได้แปลว่าทุกข์เสมอไป เขาเริ่มเข้ากับคนที่ไซต์งานได้ มีหัวหน้าเป็นชาวไอริชที่เป็นเหมือนพ่ออีกคนที่คอยสอนวิชาใช้ชีวิต ความเหนื่อยนี้ทำให้เขาหาเงินได้ สำหรับคนที่ล้มเหลวมาตลอด การหาเงินได้ด้วยตัวเองสักก้อนมันคือความภูมิใจ และยิ่งทำงานประเภทใช้แรงมันยิ่งทำให้เขารู้ว่า ทุกบาททุกสตางค์ รวมถึงทุกๆโอกาสนั้นมีค่าขนาดไหน

ในขณะเดียวกัน ก็มีบางครั้งที่เขาได้ใช้เวลาที่ ซิดนี่ย์ พาร์ค ดูผู้คนมาเตะฟุตบอล และมองย้อนกลับไปในอดีต มันทำให้เขารู้ว่าตัวเองผิดพลาดอะไรไปบ้าง และเขาจะไม่ยอมพลาดซ้ำอีกเป็นหนที่ 2 แน่ ไม่ว่าจะในฐานะนักฟุตบอลหรือคนงานก่อสร้าง เขาจะทำทุกอย่างให้เต็มที่

เกิดปัญญาและความสุข 

การโชว์ลีลาในสนามสาธารณะของ ฟลอร็องต์ คือจุดเปลี่ยนเล็กๆในชีวิตของเขา แน่นอนว่าทักษะฟุตบอลระดับอดีตเด็กเก่งยังพอมีอยู่บ้าง และมันมากพอที่จะทำให้ทุกคนในสนามที่เตะฟรีต้องหัวหมุน เขาโชว์ลีลาได้ไม่กี่วัน ก็ได้รับการติดต่อจากทีมๆหนึ่งในระดับกึ่งอาชีพ ดิวิชั่น 5 ของประเทศออสเตรเลีย ที่ชื่อว่า เฟรเซอร์ พาร์ค เอฟซี ซึ่ง ฟลอร็องต์ ก็ตอบตกลงทันที

การตกลงครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเขาหวังว่านี่จะเป็นบันไดที่ทำให้ได้กลับเข้าสู่เส้นทางลูกหนังอีกครั้ง สำหรับเขา มันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เขาหวนกลับไปยังอดีตและสนุกกับฟุตบอลอีกครั้งเหมือนตอนที่เป็นเด็ก 

7

“สโมสร เฟรเซอร์ พาร์ค ถือเป็นสโมสรในอุดมคติเลย ที่นี่มีแต่คนดีๆทั้งนั้น ในวันที่ผมได้สัญญา พวกเขาบอกว่ามีค่าจ้างให้ด้วย ซึ่งในความจริงแล้วผมไม่ได้หวังว่าผมจะทำเงินจากฟุตบอลอะไรหรอก ผมก็แค่อยากไปเล่นฟุตบอล ย้อนวัยความสนุกในแบบที่ผมไม่ได้เป็นมานานเท่านั้นเอง” ฟลอร็องต์ กล่าว 

อเล็กซิส เวนเซล กัปตันทีมของ เฟรเซอร์ ปาร์ค ยังจดจำเหตุการณ์ที่ ฟลอร็องต์ มาซ้อมกับทีมครั้งแรกได้ดี เขารู้ทันทีว่าหมอนี่ไม่ธรรมดา ทักษะเกินนักเตะท้องถิ่นในออสเตรเลียไปเยอะ เขาจึงเข้าไปถามกับ ฟลอร็องต์ ว่าเป็นใครมาจากไหน? และคำตอบจากชายชาวฝรั่งเศสคือ “ผมเป็นคนงานก่อสร้าง”

“มันตลกดีนะ ผมก็ไม่อยากจะเชื่อหรอก แต่ทุกครั้งที่ซ้อมกันเขาจะบอกว่า ‘ให้ตายเถอะวะ เจ็บหลังชะมัดเลย'” กัปตันทีม กล่าว

“ฟังเรื่องของเขาแล้วมันก็แปลก เขามาอยู่ที่นี่ ที่ออสเตรเลีย และแทบไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนตามที่วีซ่าของเขาบอก เขาตั้งใจทำงานก่อสร้างของตัวเอง เขาพักอยู่ในเมืองเดียวกับผมนี่แหละ ผมเจอเขาประจำ ผมยกสกูตเตอร์ให้เขาคันนึง ให้เขาขี่มาซ้อม เอาไว้ไปโน่นมานี่”

“ผมเจอเขาในเมืองบ่อยๆ ช่วงหยุดยาวผมก็เห็นเขามาในสกูตเตอร์คันเดิม ผมถามว่า เป็นไงเพื่อน? วันหยุดยาวนี้ไปเที่ยวไหนมาบ้าง เขาตอบกลับสั้นๆว่า ‘ไม่ได้ไปไหนเลย กำลังทำงานอยู่เนี่ย ปวดหลังไม่หายเลย’ บ้าชิบ'”

8

“ตอนนั้นแหละผมถึงจะเชื่อว่า หมอนี่มาเพื่อทำงานก่อสร้างจริงๆ เพราะเท่าที่เห็นในสนาม ผมคิดว่าเขาเก่งเกินกว่าคนอื่นๆไปพอสมควรเลยนะ เมื่อได้เห็น ฟลอร็องต์ เล่นคุณจะรู้เลย ไอ้หมอนี่ทำไมมันทำทุกอย่างเหมือนของง่ายเลยวะ ทั้งการจับบอลแรก การผ่านบอล ทั้งที่ปากบอกว่ามาเพื่อเล่นสนุก แต่หมอนี่มันเอาพวกเราซะอยู่หมัดเลย” 

“จากนั้นเขาก็เริ่มเผยความลับออกมาเรื่อยๆ เขาบอกว่าตัวเองเป็นเพื่อนกับ มักซิแม็ง ตอนแรกผมนึกว่าอำกัน แต่สักพักเขาก็หยิบโทรศัพท์มาเฟซไทม์หา มักซิแม็ง โชว์ซะเลย พวกเราในทีมก็แบบ ไอ้เวรนี่มันบ้าเกินไปแล้ว” เวนเซล พูดถึงเพื่อนของเขา 

การมาที่ ซิดนี่ย์ เปลี่ยน ฟลอร็องต์ ไปจริงๆ เขาได้รู้ค่าของการทำงานหนัก ได้มีชีวิตที่มีชีวาอีกครั้ง และที่สำคัญที่สุดคือเขากลับมาเล่นฟุตบอลและพบว่า ทำไมเราไม่ลองดูอีกสักที มันจะยากสักแค่ไหนกัน เพราะขนาดย้ายมาเป็นคนงานก่อสร้างที่ออสเตรเลียแบบตัวคนเดียวก็เคยมาแล้ว

ลองสักตั้งเพื่อฝันวัยเด็ก

วิดีโอคอลกับ มักซิแม็ง ในวันนั้น ทำให้ทั้งคู่ได้คุยกันหลายเรื่อง ฟลอร็องต์ รู้ว่าเพื่อนของเขาเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดในทีมสาลิกาดงไปแล้ว แล้วมันจะพอเป็นไปได้ไหมที่จะติดต่อหาทีมฟุตบอลสักทีมในอังกฤษให้เขาได้ลองสู้ เพื่อฝันนักเตะอาชีพอีกครั้งในวัย 23 ปี 

9

“ผมไม่เคยบอกกับเขาสักครั้งว่าให้เขาฝากผมกับทีมนิวคาสเซิล ผมรู้อยู่ว่ามันเป็นไปได้ยาก แต่เขาก็รับปากว่าจะพยายามและหาสโมสรในดิวิชั่นต่ำๆให้ผมได้ลองพิสูจน์ตัวเอง ซึ่งผมคิดว่าไม่มีอะไรเสียหายที่จะลองดู เพราะตอนนั้นฟุตบอลลีกออสเตรเลียทุกระดับก็หยุดการแข่งเพราะโควิดพอดี”

“ผมมีความสุขมากกับการได้อยู่ที่ซิดนี่ย์ แต่การจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพก็เป็นฝันที่ลืมไม่ลงเช่นกัน ผมภูมิใจที่ได้ทำงานก่อสร้าง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะทำอาชีพนั้นไปตลอดชีวิต” ฟลอร็องต์ กล่าว 

มักซิแม็ง ทำในสิ่งมากกว่าที่เพื่อนร้องขอ เขาไม่ได้คุยกับทีมเล็กทีมไหนเลย แต่เขาคุยกับ นิวคาสเซิล ต้นสังกัดของเขา เพื่อขอโอกาสให้ ฟลอร็องต์ ได้ทดสอบฝีเท้าดูสักตั้ง.. 

ฟลอร็องต์ เดินทางมาถึงเมืองนิวคาสเซิลและได้เข้าไปยังสนามฝึกซ้อมของทีม และจากนั้นการทดสอบก็เริ่มขึ้น เขามีเวลา 3 อาทิตย์ ในการซ้อมร่วมกับทีมชุดยู 23 ของ นิวคาสเซิล และเมื่อถึงช่วงลงทีม มันเป็นเวลาที่ทีมชุดยู 23 จะกลายเป็นทีมที่มาซ้อมกับทีมชุดใหญ่เพื่อเป็นการลองทีม ซึ่งในสัปดาห์นั้นเอง ฟลอร็องต์ ก็จัดการยิงประตูสุดสวยด้วยการจักรยานอากาศจากลูกเตะมุม และเป็นประตูที่สโมสรเอามาอัปโหลดลงในทวิตเตอร์ จนทำให้แฟนๆทูน อาร์มี่ ต้องตามตัวว่า “หมอนี่คือใคร?”

“ผมเจอกับ อัลล็อง ในการทดสอบฝีเท้า เขาจัดการเรื่องนี้ให้ผมหมดเลยนะ ดังนั้น ในการซ้อมผมเลยทำทุกอย่างไม่ให้เสียชื่อเขา ผมยิงประตูได้ทุกๆการฝึกซ้อม ผมบอกตัวเองทุกวันว่ามีโอกาสต้องยิงให้ได้ ให้ตัวเองเป็นที่จดจำ”

“จากนั้นก็ โป้ง! ผมยิงลูกจักรยานอากาศได้จากลูกโยนเข้ามาจากเตะมุม” เขาย้อนความไปที่ประตูสำคัญที่เปลี่ยนอาชีพนักเตะของเขา

หลังจากซ้อมครบกำหนด นิวคาสเซิล ตัดสินใจมอบสัญญา 1 ปีให้กับ ฟลอร็องต์ เขาจะได้ลงเล่นให้กับทีมชุดยู 23 ของทีม ไม่มีใครรู้ว่าเขาได้เงินเดือนเท่าไหร่ แต่ตอนนี้มันไม่สำคัญมากนักสำหรับเขา เขากลับมาสู่ไอดินกลิ่นหญ้าที่คุ้นเคย และเข้าใจว่าการพยายามจนมาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มันคือเรื่องของความภาคภูมิใจที่สามารถพาตัวเองกลับมาอยู่ในจุดที่ฝันได้อีกครั้ง 

“นี่แหละหนาชีวิต อะไรที่ไม่คาดฝันมันก็มาเยือนคุณได้เสมอ ผมรู้ซึ้งว่าทุกอาชีพ หากอยากประสบความสำเร็จก็ต้องทำงานหนักแลก ผมมาที่นี่พร้อมกับทักษะฟุตบอล และที่มากกว่านั้นคือสภาพจิตใจที่เต็ม 100% แบบที่ตัวผมเองก็ไม่เคยเป็นมาก่อน” 

“หากให้ย้อนเวลากลับไป ผมก็คิดนะว่าดีจริงๆที่ตัดสินใจไปออสเตรเลีย ผมไม่รู้จักใคร พูดภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ แต่ประสบการณ์ที่ยากลำบากแบบนั้นแหละที่ทำให้คนเรากลับสู่โลกแห่งความจริงด้วยการเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเดิม” 

ฟลอร็องต์ อินดาเลซิโอ ยังคงเป็นนักเตะของนิวคาสเซิลชุดยู 23 ปี ณ เวลานี้ แม้ตัวเลขผลงานจะไม่ค่อยชัดเจนนักว่าจะเป็นไปในทิศทางบวกหรือลบ (ลงสนามไป 10 นัดในฤดูกาลนี้) แต่สำหรับเขาไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้ว

11

เพราะรสชาติความเป็นคนนั้นสอนอะไรมากมาย ความผิดหวังเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องเจอ แต่การยอมแพ้และไม่กล้าฝัน หรือไม่กล้าเปลี่ยนแปลงตัวเองเลยต่างหาก คือสิ่งที่ทำให้คนอีกหลายคนบนโลกนี้กลายเป็นคนที่ล้มเหลว แต่ไม่ใช่กับ ฟลอร็องต์ อีกต่อไปแล้ว เด็กวัย 15 ปีที่ถอดใจเพียงแค่โดนคนบอกว่าเขาไม่เก่งพอตายไปแล้ว เหลือแต่ชายวัย 23 ปี ที่ยังคงมุ่งมั่นจนกว่าจะถึงวันที่ร่างกายและหัวใจไม่สามารถไปต่อได้ 

“จำคำผมเอาไว้ให้ดีเลย วันหนึ่งผมจะได้เล่นในพรีเมียร์ลีก หรือเดอะ แชมเปี้ยนชิพ”

“ผมจะไม่ถอดใจและหนีจากฟุตบอลอีกแล้ว ผมจะอยู่ที่นี่แหละ ที่อังกฤษ ต่อให้ผมจะโดนส่งไปเล่นให้ทีมในลีกทูผมก็จะทำ ผมไม่เคยรังเกียจ และไม่เคยกลัว เจมี่ วาร์ดี้ ก็เคยต้องสู้แบบนี้มาแล้วเหมือนกัน”

“เชื่อใจผมได้เลย วันหนึ่งคุณจะเห็นผมในเกมระดับสูง แต่ถ้าคุณจะไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร เพราะผมเชื่อในตัวเองเสมอ เท่านี้ก็จบเรื่อง” ฟลอร็องต์ กล่าวทิ้งท้าย

12

ถ้าวันนี้คุณเหนื่อยกับงานที่ทำ และอาจจะลืมไปแล้วว่าความสุขของคุณคืออะไร เราหวังว่าเรื่องราวของแรงงานก่อสร้างจากซิดนี่ย์ที่ใช้หยาดเหงื่อและการทำงานหนักเป็นบทเรียนชีวิตครั้งนี้จะมอบพลังให้กับคุณบ้างไม่มากก็น้อย 

ในสภาวะที่อะไรก็ดูย่ำแย่ไปหมด จงอย่าลืมที่จะเชื่อมั่นในพลังของตัวเอง การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นได้เสมอ.. ถ้าคุณตั้งใจมากพอ

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ