.jpg?ip/crop/w1200h700/q80/jpg)
พ่อร้องมูลนิธิดัง หลังพาลูกชายวัย 17 มีอาการปวดหัวรุนแรง ลุกนั่งไม่ได้ พาไปส่ง รพ.แต่พยาบาลบอกเป็นไมเกรนไล่กลับบ้าน สุดท้ายกับเป็นเส้นเลือดในสมองแตกนอนรอความตาย
เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 5 มี.ค.2568 ที่มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ถนนแจ้งวัฒนะ ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี นายภาสกร อายุ 58 ปีอาชีพทำสวนลำไย และนายเดชานนท์ อายุ 22 ปี พ่อและพี่ชาย ของชายหนุ่มอายุ 17 ปี นักเรียนชั้น ม.5 โรงเรียนชื่อดังใน จ.กำแพงเพรช ซึ่งมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง จนลุกนั่งไม่ได้ ต้องรีบพาตัวส่ง รพ.แห่งหนึ่งในกำแพงเพรช แต่เจ้าหน้าที่กลับให้น้ำเกลือ และบอกว่าเป็นโรคไมเกรน ให้กับไปรอดูอาการที่บ้าน
อย่างไรก็ดี พอกลับถึงบ้านได้ไม่นานลูกของตนมีอาการหนักขึ้น จนต้องรีบนำตัวส่ง รพ.อีกครั้งภายในวันเดียวกัน แพทย์บอกว่าลูกเป็นโรคเส้นเลือดในสมองแตก อาการวิกฤติมีโอกาสรอดชีวิตแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ ทุกวันนี้ลูกชายอยู่ได้เพราะเครื่องช่วยหายใจ ซึ่งตนมองว่าถ้า รพ.วินิจฉัยโรคถูกต้องตังแต่แรก และไม่ไล่ให้ลูกชายกับมาดูอาการเองที่บ้าน ลูกของตนคงอาการไม่หนักขนาดนี้ พอสอบถามทางก็ไม่ได้คำชี้แจงอะไร จึงเดินทางนำหลักฐานเอกสารต่างๆ เข้าร้องเรียนกับนายรณณรงค์ แก้วเพรช ประธานมูลนิธิให้ช่วยเหลือ
พ่อกล่าวทั้งน้ำตาว่า ลูกของตนก่อนหน้านี้เป็นเด็กแข็งแรง ชอบเล่นกีฬา ไม่เคยเจ็บป่วยจนต้องเข้า รพ. กระทั่งวันที่ 26 ก.พ.68 เวลา 04.00 น.ลูกชายมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง อาเจียน ลุกนั่งเองไม่ได้ และดวงตาสู้แสงไม่ได้ จึงรีบนำตัวส่ง รพ.แห่งหนึ่งในกำแพงเพรช พอไปถึงมีเจ้าหน้าที่พยาบาลเขามาสอบถามอาการและพาเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ก่อนจะให้น้ำเกลือและนอนพักอยู่บนเตียงผู้ป่วย จนเวลา 11.00 น. พยาบาลได้เขามาบอกให้พาลูกชายกับไปรอดูอาการต่อที่บ้าน ทั้งที่ตอนนั้นลูกชายอาการยังไม่ดีขึ้นเลย ซึ่งแม่ของน้องก็บอกกับพยาบาลว่าขออยู่ที่ รพ.ต่อได้ไหมลูกชายยังอาการไม่ดีขึ้นเลย แต่ทางพยาบาลไม่ยอม บอกว่าลูกชายตนมีอาการเป็นโรคไมเกรน จึงต้องยอมทำใจพาลูกกับมาดูอาการต่อที่บ้านกันเอง
จนเวลา 20.00 น. ลูกชายร้องบอกว่าหัวจะระเบิดแล้ว ปวดหัวมาก จึงรีบพาลูกกับไปที่ รพ.อีกครั้ง พอไปถึงแพทย์ดูอาการแล้วรีบพาไปห้องเอ็กซ์เรย์สแกนสมอง ก็พบว่าลูกเส้นเลือดในสมองแตก ต้องรีบทำการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม หลังผ่าตัดเสร็จแพทย์บอกว่าให้ทำใจ ลูกชายมีโอกาสรอดแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ ทุกวันนี้ลูกชายอยู่ได้เพราะเครื่องช่วยหายใจถ้าถอดออกก็เสียชีวิต
พ่อกล่าวอีกว่า ตนพยายามสอบถามกับทาง รพ.ถึงขั้นตอนการรักษา ว่าตอนแรกลูกตนก็อาการไม่ดีตั่งแต่มาถึง ทำไมถึงไล่ให้ตนพาลูกกลับไปดูอาการที่บ้านอีก จนลูกเป็นหนักมากขนาดนี้ ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรที่ชัดเจน มีแต่มาถามตนว่าจะให้ถอดเครื่องช่วยหายใจไหม จะบริจาคอวัยวะไหม ทั่งที่ลูกตนยังไม่ตายพวกตนยังพยายามจะช่วยลูกให้ถึงที่สุด ทั้งโพสต์ขอรับบริจาคเลือดเพื่อมาผ่าตัดลูกอีกครั้ง ทุกวันนี้ตนและครอบครัวเหมือนตกนรกทั้งเป็นที่เห็นลูกชายต้องมานอนเป็นผักรอคอยความตาย เรื่องนี้ถ้า รพ.วินิจฉัยโรคถูกต้องตั่งแต่แรก และยอมให้ลูกชายได้นอนรอดูอาการที่ รพ.จนกว่าจะดีขึ้น ลูกตนคงไม่หนักถึงขนาดนี้
ด้าน ทนายรณณรงค์ กล่าวว่า เรื่องนี้ทาง รพ.ต้องออกมาชี้แจงให้กับครอบครัวทราบถึงการรักษาว่ามีความผิดพลาดตรงไหนหรือไม่ เกิดจากสาเหตุใดทำไมถึงให้ผู้ป่วยที่มีอาการวิกฤตกลับไปดูอาการกันเองที่บ้าน จนลูกชายเขาอาการวิกฤติหนักนอนเป็นเจ้าชายนิทรามีชีวิตอยู่ได้เพราะเครื่องช่วยหายใจ หลังจากนี้จะพาผู้เสียไปยื่นหนังสื่อร้องเรียนขอความเป็นธรรมที่กระทรวงสาธารณะสุขต่อไป หลังร้องเรียนเสร็จแม่น้องโทรบอกสามีให้รีบกลับไปดูใจลูกชายอาการไม่สู้ดี