พ่อค้า-แม่ค้า เมืองตรัง รับไม่ได้ ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ชี้ถ้าปรับตายกันหมดแน่ ตอนนี้ขายยากมาก คนไม่มีเงิน ต้นทุนก็แพง ยังต้องมีจ่ายค่าจ้างลูกน้องเพิ่มอีก
18 พ.ค. 2566 – ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจบรรยากาศการค้าขายในตลาดเซ็นเตอร์พอยท์ ในเขตเทศบาลนครตรัง โดยพ่อค้าแม่ค้าต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า บรรยากาศค้าขายซบเซา ซึ่งอาจจะเป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจที่ซบเซา และเป็นช่วงที่เด็กเปิดเทอมใหม่ ทำให้ประชาชนขาดกำลังซื้อ จึงทำให้บรรยากาศการค้าขายไม่ค่อยคึกคัก
พ่อค้าข้าวแกงรายหนึ่ง กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลใหม่มีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอีก ส่วนตัวรับไม่ได้แล้ว ขนาดลูกน้อง 7 คน แทบจะต้องเลิกจ้างอยู่แล้วตอนนี้ เพราะแบกไม่ไหวกับสภาพเศรษฐกิจที่เป็นแบบนี้ การค้าขายไม่ดี วัตถุดิบต้นทุนแพงทุกอย่าง เฉพาะค่าจ้างลูกน้องไม่ต่ำกว่า 2,000 บาทต่อวัน ตอนนี้อย่าว่าแต่การขึ้นค่าแรงเลย ลูกน้องก็แทบจะเอาออกอยู่แล้ว ตอนนี้พ่อค้าแม่ค้าทุกรายเหมือนกันหมด ถามดูได้ อยู่กันแทบไม่ได้ทุกราย
แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวเจ้าหนึ่ง กล่าวว่า ตอนนี้ขายยากมาก คนไม่มีเงิน ต้นทุนก็แพง หากมีการขึ้นค่าจ้าง หรือแรงงานขั้นต่ำอีก เชื่อว่าจะกระทบอย่างมาก คงจ้างลูกน้องไม่ไหว ตายกันหมดพ่อค้าแม่ค้า คงต้องยอมทำคนเดียว ขายแบบ 3-4 วัน แล้วค่อยหยุดพักสักวัน แต่ถ้ามีลูกน้องช่วย จะหยุดขายเฉพาะวันพระเท่านั้น ช่วงนี้ปกติจะขายบะหมี่กล่องละ 30 บาท แต่ถ้าขายไม่หมด 2 ทุ่ม ก็จะนำไปลดราคาเหลือกล่องละ 20 บาท ก่อนกลับบ้าน ดีกว่าปล่อยให้เหลือ ก็ขาดทุน
ขณะที่ แม่ค้าขายไก่ทอด กล่าวไปในทางเดียวกันว่า ถ้ามีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ยิ่งเป็นภาระหนัก แต่ก็เข้าใจเพราะเศรษฐกิจไม่ดี ส่วนของลูกจ้างก็อาจต้องมีการปรับขึ้นบ้าง เพราะพวกเขาก็ลำบาก แต่ถ้าปรับขึ้นมากก็ไม่ไหว เพราะตอนนี้เจ้าของร้านก็อยู่ไม่ไหวกันอยู่แล้ว ปกติตอนนี้ก็จ้างลูกจ้างวันละ 300 บาท พร้อมอาหาร หากมีการปรับขึ้นค่าแรง ก็ต้องมีการปรับเพิ่มยอดขาย ก็จะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น แต่รายได้เท่าเดิม เพราะไม่สามารถปรับราคาไก่ทอดขึ้นได้ และจะกระทบกับลูกค้าอีก
จึงอยากฝากรัฐบาลชุดใหม่นี้ ช่วยทำให้บ้านเมืองให้ดีขึ้นตามที่ได้รับปากไว้กับประชาชน เช่น การแก้ปัญหาปากท้อง ปัญหาสินค้าราคาแพง เป็นต้น