พลอยชมพู ยื่นฟ้องค่าเสียหาย ค่ายเพลงเก่ามาเลเซีย 8 หลัก ร่ำไห้เสียอนาคต 2 ปี ออกแค่เพลงเดียว รับเข็ดแล้ว ลุยทำอิสระ
พลอยชมพู ยื่นฟ้องค่าเสียหาย / วันที่ 21 ธ.ค. 2564 ที่ ห้องประชุม Sofinspace สยามสแควร์ ซอย1 นักร้องสาว พลอยชมพู ญานนีน ไวเกล ตั้งโต๊ะแถลงข่าวกับสื่อมวลชน เปิดใจร่ำไห้ถึงกรณีที่เป็นโจทก์ยื่นฟ้องค่ายเก่าที่เคยร่วมงานกัน อดีตต้นสังกัดประเทศมาเลเซีย ในข้อหาผิดสัญญา และเรียกร้องค่าเสียหาย จำนวน 8 หลัก พร้อมอัพเดตผลงานใหม่ในรอบ 2 ปีที่ลงทุนทำเองโดยไร้สังกัด
โดย พลอยชมพู กล่าวว่า “พี่ๆ สื่อมวลชนรวมถึงแฟนคลับน่าจะเห็นอยู่ว่าหนูหายหน้าหายตาไปนาน รวมถึงงานเพลงที่ออกมาเพียงเพลงเดียวในระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ปีที่แล้วปี 2020 เป็นปีที่หนูบรรลุนิติภาวะพอดี แล้วก็เป็นปีที่แย่ที่สุดสำหรับหนู (ร้องไห้)”
“สำหรับหนูมันเป็นปีที่แย่กว่าการต้องมาเจอโรคระบาดอีก หนูไม่คิดว่าตอนอายุ 21 หนูจะต้องมาเจอกรณีพิพาทกับคนอื่นจนถึงขั้นต้องขึ้นศาล เพราะว่าจริงๆ หนูไม่ต้องการจะมีปัญหาอะไร หนูต้องการจบทุกอย่างด้วยดี แต่เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งเขาไม่ต้องการที่จะจบ หนูก็ต้องมารวบรวมความกล้าในวันนี้ที่จะมาแถลงข่าว”
“ประเด็นหลักที่หนูต้องการจะกล่าวถึงคือการที่หนูเป็นโจทก์ยื่นฟ้องค่ายเพลงเก่าที่หนูเคยร่วมงานด้วย ทุกคนอาจจะสงสัยว่าหนูฟ้องร้องเรื่องอะไร ข้อกล่าวหาที่เป็นประเด็นหลักคือค่ายไม่ได้ปฏิบัติตามสัญญาจนกระทั่งสัญญาสิ้นสุดจึงเรียกร้องค่าเสียหาย เรื่องข้อกล่าวหาค่ายผิดสัญญาผิดในส่วนไหน ในตอนนี้หนูอาจจะยังไม่สามารถลงรายละเอียดได้มาก แต่ว่าถ้ามีอะไรอัพเดตจะมาแจ้งนะคะ ตอนนี้ทุกอย่างกำลังรอการพิสูจน์อยู่นะคะ”
“การฟ้องร้องครั้งนี้ได้มีการฟ้องที่ศาลมาเลเซีย มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากสำหรับหนูเพราะว่าก็มีคนที่บอกหนูว่าอย่าฟ้องเลย เพราะทั้งเสียเวลาและเสียเงินด้วย แล้วพอมามีโควิดเราจะไปศาลที่มาเลเซียยังไง หนูก็ต้องขอโทษเขาด้วยที่ไม่ฟังเพราะถ้าหนูไม่ฟ้องชีวิตหนูก็เดินต่อไปไม่ได้ (เสียงเครือ) เพราะว่าความฝันความหวังของหนูมันจบลงตั้งแต่ปีที่แล้วแล้ว แต่หนูก็อดทนฝืนต่อไปเพื่อให้มันจบและหนูสามารถเริ่มต้นใหม่ทำงานต่อไปได้”
“ตอนนี้ศาลมาเลเซียก็ประทับรับฟ้องแล้ว มันจะจบลงยังไงก็ต้องรอดูกันต่อไปค่ะ แต่หนูจะไปให้สุด ไม่ต้องการคำขอโทษหนูต้องการการชดเชยจากค่ายเท่านั้น ที่จะสามารถเยียวยาอนาคตของหนูที่เสียไป 2 ปีได้ สำหรับการฟ้องร้องค่ายก็มีเพียงเท่านี้ในตอนนี้ค่ะ”
“และในเมื่อตอนนี้หนูเป็นศิลปินอิสระแล้ว ไม่ได้อยู่ภายใต้สังกัดใครก็อยากจะขอฝากเพลงที่จะออกต่อไปด้วย หนูกำลังจะมีผลงาน ที่ผ่านมาหนูไม่ได้มีงานนานเกือบๆ 2 ปีแล้ว แทบจะไม่มีงานจ้างเลยด้วย หนูแทบจะไม่มีเงินที่จะมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ เพราะว่ามีทั้งค่าทนายที่ต้องเสีย แล้วก็ค่าใช้จ่ายส่วนตัวด้วย เพราะฉะนั้นเพลงที่หนูทำมันเป็นผลงานที่สร้างมาจากเงินก้อนสุดท้ายของหนู หนูก็ขออนุญาตขอบคุณสปอนเซอร์ทุกๆ ท่านด้วยที่ช่วยซัพพอร์ตหนูด้วยนะคะ อยากขอบคุณแฟนคลับทุกคนด้วยที่คอยติดตามและให้กำลังใจ คอยซัพพอร์ตหนูทุกอย่างค่ะ”
เปิดเผยได้ไหมว่าเรียกค่าเสียหายไปเท่าไหร่? “หนูอาจจะยังไม่สามารถพูดตัวเลขตรงๆ ได้ แต่ว่าก็ 8 หลักค่ะ” ถามว่ากังวลใจขนาดไหนที่เรื่องมาถึงการฟ้องร้อง? “จริงๆ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดจะฟ้องร้อง แต่เจรจากันมาค่อนข้างนานเกือบปีค่ะ แต่ว่าด้วยความที่เราต้องการทำงานต่อไป เราก็เลือกฟ้องร้องก่อน”
ที่ผ่านมาเสียผลประโยชน์จากการทำงานในค่ายนี้มากน้อยแค่ไหน? “มีเพลงออกมาแค่เพลงเดียวในระยะเวลา 2 ปี หลังจากนั้นก็ไม่มีอีกเลยค่ะ ก็มีงานอื่นติดต่อมาบ้างแล้วหนูก็ส่งไปให้เขา”
ในการเป็นศิลปินในสังกัด ทำเพลงอย่างเดียว หรือสามารถรับงานอื่นได้ไหม? “มันก็เป็นสัญญาที่ครอบคลุมหมดเลยทุกรูปแบบ มันก็ต้องผ่านค่ายหมด ค่ายเป็นคนตัดสินใจว่ารับหรือไม่รับ หนูส่งต่อไปให้ค่ายหลังจากนั้นก็ตามนั้น”
ค่ายปฏิเสธงานที่ติดต่อมาเหรอ? “หนูไม่ทราบค่ะว่ายังไง ตามสัญญาเวลามีงานติดต่อมาหนูต้องส่งทุกงานให้ค่ายหมด (ค่ายเงียบไปเลย?) หนูไม่สามารถตอบตรงนี้ได้ในตอนนี้ต้องขอโทษด้วยค่ะ”
หลังจากทำเพลงแรกออกมา ค่ายมีโปรเจ็กต์เพลงต่อไปออกมาอีกไหม? “มันก็มีการพูดถึงแต่ว่ามันไม่มีแผนที่ชัดเจนค่ะ มีการเลื่อนอยู่ตลอด”
เราออกมาทำเพลงเองแล้ว จะมีผลต่อสัญญากับค่ายไหม? “ตอนนี้สัญญาสิ้นสุดแล้วค่ะ ตามสัญญาหนูให้ทนาย 2 คนทั้งทนายมาเลเซียและคนไทยช่วยอ่านสัญญาให้ทั้งสองทนายเขาเห็นตรงกันว่าสัญญาสิ้นสุดแล้ว”
ตอนทำสัญญามีข้อตกลงว่าต้องทำเพลงเท่าไหร่ภายในระยะเวลากี่ปี? “มีค่ะ มีตามจำนวน แต่ว่าได้มา 1 เพลง จริงๆ หนูทำเพลงค่อนข้างเยอะ เหมือนกับว่าสัญญาจะต้องทำ 5 เพลงภายในระยะเวลา 9 เดือนหลังจากที่ออกเพลงแรกมาซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นตามนั้น ตอนที่นำเพลงไปเสนอบางทีหนูก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรกลับมา ซึ่งหนูส่งไปเป็น 10 เพลง เขาก็เงียบไปเลย ซึ่งหนูก็ไม่รู้ว่าเพลงที่ส่งไปมันยังไง หลายๆ เพลงที่ส่งไปเราก็ทำที่อเมริกาโปรดักชั่นคุณภาพ”
เคยถามเหตุผลจากค่ายไหม? “เขาไม่ชอบ มันไม่ตรงตามภาพลักษณ์ที่เขาต้องการให้หนูเป็น ซึ่งหนูเป็นศิลปินคนเดียวในค่าย”
เซ็นสัญญากับค่ายกี่ปี? “มันไม่ได้นับเป็นปี แต่นับเป็นเหมือนอัลบั้ม อย่างที่บอกจะต้องออก 5 เพลงภายใน 9 เดือน หลังจากที่ออกเพลงแรกไปซึ่งมันก็เป็นอีพีหนึ่ง”
ย้อนกลับไปอะไรที่ทำให้เราตัดสินใจเซ็นสัญญากับค่ายนี้? “ตอนที่หนูเซ็นมันประมาณ 2-3 เดือนก่อนที่จะมีเรื่องโรคระบาด และเรามองว่าเขาเป็นบริษัทค่อนข้างใหญ่ และเราก็เป็นศิลปินคนแรกคนเดียวของค่ายด้วย เรารู้สึกว่ามันดูน่าจะมีความหวัง จะได้ไปต่อยอดสิ่งที่เรามีอยู่ ณ ตอนนั้นหนูอยู่ในจุดที่อยากออกผลงานแล้ว เพราะว่าหนูต้องการทำงานหารายได้ พอมันเข้าค่ายแล้ว งานทุกอย่างมันต้องผ่านค่ายแล้วพอหนูไม่มีงาน ก็คิดว่าถ้าเรามีผลงานมันก็มีโอกาสที่จะได้ทำงานมากขึ้น”
เสียใจกับการตัดสินใจในวันนั้นของตัวเองไหม? “ถามว่าเสียใจไหม เราก็ไม่รู้ว่ามันจะมาแบบนี้ (เสียงสั่นเครือ) แต่ว่าหนูรู้สึกว่ามันก็ทำให้หนูเข้มแข็ง”
ให้กำลังใจตัวเองยังไง? “คือต้องบอกว่า 9 เดือนแรกในช่วงปี 2020 หนูได้ย้ายไปอยู่ที่มาเลเซีย เพราะว่าค่ายต้องการให้หนูย้ายไปอยู่ที่นั่นเพื่อทำงานได้สะดวกขึ้น แต่พอเอาเข้าจริงๆ พอหนูย้ายปุ๊บมันเข้าล็อกดาวน์ที่มาเลเซียพอดี แล้วหนูก็ติดอยู่ที่นั่น 9 เดือน จริงๆ หนูก็ไม่ได้อยากจะไปอยู่ยาวขนาดนั้น แต่วันนั้นที่หนูยอมย้ายเพราะว่ามันยังไม่ได้ล็อกดาวน์ และหนูคิดว่ามาเลเซียกับประเทศไทยใกล้ๆ กัน ถ้าคิดถึงบ้านก็น่าจะได้กลับ แต่พอเอาจริงๆ มันต้องอยู่ยาว หนูก็พยายามคุยกับที่บ้าน (เสียงสั่น)”
ตอนนี้หวังเรื่องฟ้องร้องยังไงบ้าง? “เอาจริงๆ หนูไม่ได้อยากจะคิดเรื่องการฟ้องร้องเลย หนูก็ให้คุณพ่อคุณแม่ช่วยในส่วนตรงนี้ด้วย เพราะว่าหนูก็เครียดกับเรื่องนี้มาค่อนข้างนานเหมือนกัน คุณพ่อคุณแม่เขาก็ช่วยหนูเต็มที่ ตอนนี้หนูก็โฟกัสในส่วนที่เราทำแล้วมีความสุข ทำแล้วสุขภาพจิตเราดีขึ้น หนูก็โฟกัสในงานในส่วนที่จะมีผลในอนาคต เพราะหนูไม่อยากมาโฟกัสในส่วนที่มันผ่านมาแล้ว หนูไม่ได้อยากจะมาพูดถึงด้วยซ้ำ หนูอยากจะก้าวไปข้างหน้าแล้ว”
สัญญาหมดไปเมื่อไหร่? “ประมาณช่วงกลางปีนี้ค่ะที่สิ้นสุดไปแล้ว”
ได้มีการขอเคลียร์หรือตกลงอะไรกันไหม? “ก็มีการเจรจากันค่อนข้างนานค่ะ แต่เจรจาไม่เป็นผล แต่หนูไม่รู้ว่าพูดได้มากขนาดไหน”
ถ้ามีการร่วมงานต่างประเทศอีก เราต้องดูมากขึ้นไหม? “หนูว่าอันดับแรกถ้าจะร่วมงานกับต่างประเทศหนูก็คงจะหาทนายที่ดีก่อนที่จะเซ็นสัญญา แต่ว่าในตอนนี้ไม่ได้คิดจะเซ็นกับใครแล้ว หนูเข็ด หนูว่าการทำงานเองมันมีความสุขมากกว่า ถึงแม้ว่ามันจะใช้เงินของตัวเองเยอะ”
เตรียมพร้อมยังไงกับการเป็นอิสระ? “จริงๆ หนูเคยมีช่วงนึงที่ทำงานอิสระมาก่อน ก็พอจะมีประสบการณ์บ้าง ครั้งนี้มันก็เป็นเหมือนการเริ่มต้นใหม่สำหรับหนู เพราะหนูไม่มีรายได้มาเกือบ 2 ปีแล้ว มันก็เหนื่อยนิดนึง แต่ก็โชคดีที่พอทำซิงเกิลใหม่นี้พอเอาไปเสนอลูกค้า ทุกคนก็พร้อมซัพพอร์ตเรา ก็รู้สึกดีใจ เพราะว่าหนูก็หายไปนาน (เสียงสั่น) ก็ไม่คิดว่าพอเรากลับมาจะมีคนที่พร้อมสนับสนุนเราเยอะขนาดนี้ (ร้องไห้) เพราะตอนที่หนูเริ่มต้นทำเพลงนี้ เพลงนี้หนูแต่งเองด้วย หนูยังเครียดเลยว่าหนูจะหาเงินจากไหนมาจ่ายค่าทำเพลง หนูก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง แต่หนูก็ทำไปก่อน เสนอโปรเจ็กต์รวมทั้งเอ็มวีเอาไปเสนอให้ลูกค้าฟัง แล้วก็มีคนที่พร้อมจะลงทุนกับเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนเอ็มวีตัวนี้มูลค่าในการสร้างทั้งหมดมัน 2 ล้านบาท หนูก็ไม่คิดว่ามันจะได้มาขนาดนี้ค่ะ”
ถ้าเราไม่ทำเพลงกลัวว่าแฟนๆ จะลืมเราเหรอ? “จริงๆ มันไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่การทำเพลงมันเป็นอะไรที่ทำแล้วหนูมีความสุขที่สุด หนูนึกไม่ออกว่าจะให้หนูทำอะไรได้นอกจากทำเพลง คือต่อให้เป็นเบื้องหน้า เบื้องหลังก็ขอให้ได้ทำเพลง ได้ร้องเพลง ขอให้ได้แต่งค่ะ”
ตอนนี้ก็ทำงานที่ไทยเป็นหลักใช่ไหม? “ตอนนี้ก็จะทำงานที่ไทยเป็นหลักค่ะ เพราะหนูก็ห่างหายผลงานในไทยมานาน หนูคิดถึง อยากทำเพลงไทย เน้นเพลงไทยเยอะๆ ในปีหน้าค่ะ”
จะเซ็นกับค่ายไหนอีกไหม? “ตอนนี้หนูคงจะไม่เซ็นอะไรกับใครจริงจัง แต่สามารถทำงานเป็นโปรเจ็กต์ได้ แต่คงจะไม่เป็นศิลปินภายใต้สังกัดใครค่ะ”
ตอนนี้มีงานติดต่อเข้ามาเยอะไหม? “เริ่มมีติดต่อเข้ามาบ้าง มีร้องเพลงประกอบละครอะไรพวกนี้ด้วย ก็ดีใจที่ยังมีคนนึกถึงค่ะ”
งานละครจะมีไหม? “ละครยังไม่แน่ใจ อาจจะดูในอนาคตต่อไปค่ะ แต่ตอนนี้จะเน้นในส่วนของงานเพลงมากกว่า”
ฝากเพลงใหม่? “เพลงใหม่จะออกวันที่ 14 ม.ค.นี้นะคะ ก็อยากจะฝากกับทุกๆ คนด้วย เป็นเพลงที่หนูตั้งใจมากๆ ก็หวังว่าทุกคนจะรอชม รอติดตามฟังกันนะคะ”
ขอบคุณรูปจากไอจี jannineweigel