สวัสดีครับกลับมาพบกับการแกะกล่องรีวิวของใหม่ที่วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประไทยให้แฟน ๆ ของ Sanook! Hitech ได้อ่านกันอีกแล้ว…
สำหรับรอบนี้เป็นคิวของสมาร์ทโฟนแฟลกชิปรุ่นเด่นประจำปีอย่าง iPhone 13 สำหรับรุ่นที่เราเล่นคือ iPhone 13 Pro Max สีเงิน ขนาดความจุ 512GB เครื่องศูนย์ไทย แน่นอนว่าสีไฮไลท์ของรุ่นนี้คือสีฟ้าเซียร์ร่าบลูนั้นเอง
แต่ใคร ๆ ก็พากันเขียนรีวิวเชียร์สีเซียร์ร่าบลู เราเลยขอเชียร์สีเงินกันบ้าง บอกเลยว่าของจริงสวยมาก และพอได้ใส่เคสคือเงินชนะสุด!!! iPhone 13 Pro Max ในปีนี้มาด้วยกันทั้งหมด 4 สีประกอบไปด้วยสีเซียร์ร่าบลู, เงิน, ทอง และสีกราไฟต์ มีความจุให้เลือกใช้งานด้วยกันไล่ตั้งแต่ 128GB ราคา 42,900 บาท, 256GB ราคา 46,900 บาท, 512GB ราคา 54,900 บาท และปิดท้ายด้วยขนาดความจุ 1T ราคา 62,900 บาท
รายละเอียดสเปกของ iPhone 13 Pro Max
- ขนาดตัวเครื่อง 160.8 x 78.1 x 7.65 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 238 กรัม
- หน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว ใช้หน้าจอ Super Retina XDR (OLED)
- ความละเอียดหน้าจอ : 1284 x 2778 อัตราส่วน 19.5:9 รองรับการแสดงผล HDR10+ Dolby Vision True-Tone และ Wide Color Gamut พร้อมเทคโนโลยี Promotion 120Hz
- กระจกหน้าจอ : Ceramic Shield
- มาตรฐานการกันน้ำ IP68 กันน้ำได้ลึกสุด 1.30 เมตร
- ชิปเซ็ต : Apple A15 Bionic | GPU : เป็นของ Apple เองเป็นแบบ 4 Core
- RAM: ไม่ได้ระบุ
- ความจำในตัว :128 / 256 /512GB และ 1TB
- เพิ่มความจำผ่าน iCloud Storage
- ระบบปฏิบัติการ : iOS 15
- การเชื่อมต่อ WiFi 6 (AX), GPS, 5G, Bluetooth 5.0 NFC และรองรับ Lightning Port
- รองรับ eSIM และ Nano SIM
- ระบบเสียง
- ลำโพง Stereo ทั้งด้านบนและล่าง รองรับ Dolby ATMOS
- กล้องมีหลังประกอบด้วย 3 ตัวด้วยกันประกอบด้วย
- กล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง F1.5 มาพร้อมกับ LED Flash รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K 24/30/60 FPS, Full HD 30/60/120/240, Time lapse ทั้งกลางวันและกลางคืน
- กล้องมุมกว้าง ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มีค่ารูรับแสง F1.8 มุมมอง 120 องศา
- กล้อง Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ซูมได้ 3 เท่าแบบ Optical PDAF พร้อมกับระบบ Sensor Shift
- LiDAR Sensor
- กล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่ ไม่ได้ระบุความจุ แต่รองรับกำลังชาร์จไฟ (20W) รองรับทั้ง ชาร์จไร้สาย (15W)
- ระบบความปลอดภัย สแกนหน้าแบบ Face ID
- สี : Silver, Graphite, Gold, Sierra Blue
อุปกรณ์ที่ให้มาในกล่อง
- ตัวเครื่อง iPhone 13 Pro Max
- คู่มือ / สติ๊กเกอร์ Apple / เข็มจิ้มถาดใส่ซิม
- สายชาร์จ Lightning to USB-C
แกะกล่องสัมผัสแรกกับเรื่องของ Design – การออกแบบ
กล่องของ iPhone 13 Pro Max รวมไปถึง iPhone 13 รุ่นที่เหลือ เขาต้องการลดพลาสติกมากที่สุด ทำให้รอบนี้ไม่มีอะไรหุ้มกล่องนอกจากเทปด้านหลังที่ดึงออกแล้วก็จะหลุดทันที เมื่อเอาเครื่องออกมาจะพบอุปกรณ์ตามที่ได้บอกไว้ข้างบนนี้
เรามาดูรูปร่างกันเลยดีกว่าสำหรับคนที่คุ้นเคยกับ iPhone รุ่นหน้าจอใหญ่ในตระกูล Pro Max ก็คงจะรู้ดีว่าจะได้หน้าจอขนาดใหญ่ แต่สำหรับ iPhone 13 สิ่งที่แตกต่างคือติ่งจะเล็กลงกว่าเดิม 20% แต่มันกลับสูงขึ้นกว่าเดิม แต่ไม่ส่งผลการรับชมคลิปในสัดส่วนปกติมากนัก โดยเฉพาะ iPhone 13 Pro Max และลำโพงของเครื่องมีขนาดใหญ่ขึ้นทางด้านบน เมื่อเปรียบเทียบกับ iPhone 13 Pro ถือว่าใหญ่พอสมควร
รอบตัวเครื่องถ้าสังเกตจาก iPhone 12 เดิมก็จะพบว่าจะหนาขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยเท่านั้น แต่ปุ่มต่างๆ ยังคงอยู่ที่เดิม ฝั่งซ้ายจะมีปุ่มสำหรับ เปิด / ปิด เสียง, ปุ่มเพิ่ม / ลดระดับเสียง
ฝั่งขวาจะมีปุ่ม Power สำหรับเปิด เครื่องและถ้าต้องการจะปิดเครื่องต้องกดปุ่ม Power + เพิ่มเสียง และถ้ากดค้างจะเป็นการปลุก Siri ให้ขึ้นมาทำงาน ถัดลงมาจะมีช่องใส่ซิมการ์ดแบบ Nano SIM
ส่วนบนไม่มีอะไรปล่อยเรียบและมีไม่มีอะไร เว้นแต่ด้านล่างที่จะมีช่องเสียบ Lightning Port, ลำโพงตัวเครื่อง, ไมโครโฟนอยู่ทางฝั่งซ้ายมือ
ด้านหลังยังคงออกแบบเป็นกระจกพร้อมกับตรงกลางเป็นรูป Apple สามารถติดตามกับ MagSafe ได้ และมีกล้องเปลี่ยนแปลงใหม่พอสมควรสังเกตได้ว่ากล้องจะใหญ่กว่า iPhone 12 Pro Max ประมาณหนึ่ง โดยรอบนี้มีสีให้เลือกทั้ง ทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีเซียร์ร่าบลู, เงิน, ทอง และสีกราไฟต์
ภาพรวมของการสัมผัส
ด้วยความที่เครื่องไม่ได้แตกต่างจาก iPhone 12 Pro Max สักเท่าไหร่ เพราะใน iPhone 13 Pro Max จะมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ทำให้เครื่องมีน้ำหนักมากขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง และวัสดุแบบสแตนเลส์นั่นเอง
เปิดเครื่องเพื่อทดลองใช้งานรวมไปถึงฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันพื้นฐานต่าง ๆ
การเปิดเครื่องของ iPhone 13 Pro Max ไม่ได้แตกต่างจาก iPhone รุ่นก่อนหน้านี้ สามารถเปิดเครื่องได้ง่ายมากครับ และยังรองรับกับการใช้งานได้ทันที ซึ่ง iPhone 13 Pro Max มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iOS 15 มาให้ในกล่อง ทั้งนี้การเปิดตัว ทั้งนี้ลูกเล่นใหม่ของ iOS 15 ประกอบไปด้วย
การโทร FaceTime ที่เป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น พร้อมด้วย SharePlay สำหรับการแชร์ประสบการณ์ร่วมกัน
FaceTime ช่วยให้ลูกค้าติดต่อกับคนสำคัญได้ง่าย และใน iOS 15 นั้น การพูดคุยกับเพื่อนๆ และครอบครัวก็จะให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น เพราะมีระบบเสียงตามตำแหน่งที่จะทำให้เสียงพูดขณะโทร FaceTime ฟังดูราวกับว่ามาจากตำแหน่งที่บุคคลนั้นอยู่บนหน้าจอจริงๆ1 พร้อมด้วยโหมดไมโครโฟนใหม่ที่จะช่วยแยกเสียงพูดออกจากเสียงรบกวนรอบข้าง
และวันนี้ FaceTime ยังมาพร้อมโหมดภาพถ่ายบุคคล ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากภาพบุคคลอันน่าทึ่งที่ถ่ายด้วย iPhone โดยที่โหมดนี้ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการวิดีโอคอล เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเบลอฉากหลังและโฟกัสที่ตัวเองได้2 ยิ่งกว่านั้นขณะใช้ FaceTime แบบกลุ่มยังมีมุมมองตารางแบบใหม่ที่ช่วยให้ผู้เข้าร่วมเห็นหน้าคนอื่นๆ พร้อมกันได้มากขึ้นด้วย
วันนี้ผู้ใช้สามารถแชร์ประสบการณ์ร่วมกันด้วย SharePlay ขณะพูดคุยกับเพื่อนๆ ด้วย FaceTime ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลงใน Apple Music ไปด้วยกัน, การดูรายการทีวีหรือภาพยนตร์ไปพร้อมกัน หรือการแชร์หน้าจอเพื่อดูแอปต่างๆ ด้วยกัน SharePlay ใช้งานได้ทั้งบน iPhone, iPad และ Mac และมีส่วนควบคุมการเล่นแบบแชร์ที่ให้ใครก็ได้ในเซสชั่น SharePlay นั้นสามารถเล่น หยุด หรือข้ามไปข้างหน้าได้
ที่สำคัญ SharePlay ยังใช้งานกับ Apple TV ได้ด้วย ผู้ใช้จึงสามารถดูรายการหรือภาพยนตร์บนหน้าจอขนาดใหญ่ไปพร้อมๆ กับคุย FaceTime โดยที่ SharePlay จะควบคุมการเล่นของทุกคนให้ตรงกัน โดยขณะนี้ Disney+, ESPN+, HBO Max, Hulu, MasterClass, Paramount+, Pluto TV, TikTok, Twitch และอีกมากมายกำลังผนวกรวม SharePlay เข้ากับแอปของตัวเอง เรียกได้ว่านี่คือวิธีใหม่ในการต่อติดกับทุกคนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ยิ่งกว่านั้นการโทร FaceTime ยังไม่ได้จำกัดอยู่แค่อุปกรณ์ Apple อีกต่อไป เพราะสามารถสร้างลิงก์จาก iPhone, iPad หรือ Mac แล้วแชร์ผ่านแอปข้อความ ปฏิทิน เมล หรือแอปของบริษัทอื่น เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าร่วมการโทร FaceTime จากเว็บเบราว์เซอร์บนอุปกรณ์ Android และ Windows ของตนได้3 โดยที่การโทร FaceTime บนเว็บยังคงได้รับการเข้ารหัสตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางเช่นเดิม จึงมั่นใจได้ในเรื่องความเป็นส่วนตัว
เครื่องมือช่วยโฟกัส
iOS 15 มีเครื่องมืออันทรงพลังที่จะลดสิ่งรบกวนสมาธิและช่วยให้ผู้ใช้โฟกัสกับสิ่งที่ทำอยู่ได้เต็มที่ นั่นคือ “โฟกัส” ซึ่งเป็นคุณสมบัติใหม่ที่จะกรองการแจ้งเตือนและแอปโดยพิจารณาจากสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการโฟกัส ลูกค้าสามารถตั้งค่าอุปกรณ์เพื่อให้ตนเองจดจ่อกับเรื่องปัจจุบันได้เต็มที่โดยการสร้างโฟกัสในแบบของตัวเอง หรือเลือกโฟกัสที่แนะนำให้โดยอาศัยระบบอัจฉริยะบนอุปกรณ์
ซึ่งจะแนะนำว่าควรอนุญาตให้บุคคลใดหรือแอปใดแจ้งเตือนได้บ้าง คำแนะนำของโฟกัสจะอ้างอิงตามบริบทของผู้ใช้ อย่างในระหว่างเวลางาน หรือขณะกำลังผ่อนคลายก่อนเข้านอน และเมื่อตั้งค่าโฟกัสบนอุปกรณ์ Apple เครื่องหนึ่งแล้ว ก็จะมีผลกับอุปกรณ์ Apple เครื่องอื่นของผู้ใช้ด้วยโดยอัตโนมัติ
นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถสร้างเพจในหน้าจอโฮมที่ประกอบด้วยแอปและวิดเจ็ตต่างๆ ที่เข้ากับช่วงเวลาที่อยากโฟกัสเพื่อให้แสดงเฉพาะแอปที่สอดคล้องกับช่วงเวลานั้น และลดสิ่งที่เบี่ยงเบนความสนใจ และเมื่อโฟกัสที่ผู้ใช้ตั้งไว้บล็อคการแจ้งเตือนที่มีเข้ามา สถานะของผู้ใช้ที่ผู้อื่นเห็นในแอปข้อความก็จะเปลี่ยนไปด้วยโดยอัตโนมัติเพื่อแสดงว่าขณะนั้นผู้ใช้ไม่สามารถติดต่อได้
ประสบการณ์ใหม่สำหรับการแจ้งเตือน
การแจ้งเตือนได้รับการออกแบบใหม่โดยการเพิ่มรูปของผู้ติดต่อในกรณีที่มาจากบุคคลและมีไอคอนที่ใหญ่ขึ้นในกรณีที่มาจากแอป ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยให้ผู้ใช้ระบุได้ง่ายขึ้นว่าเป็นการแจ้งเตือนอะไร และยังมีคุณสมบัติใหม่สำหรับสรุปการแจ้งเตือนเพื่อช่วยลดสิ่งรบกวนสมาธิโดยการรวบรวมการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็นต้องรู้ทันทีในขณะนั้นมาแสดงในเวลาที่เหมาะสมกว่า อย่างในช่วงเช้าและเย็น
โดยที่ระบบอัจฉริยะบนอุปกรณ์จะจัดเรียงการแจ้งเตือนตามลำดับความสำคัญ พร้อมกับแสดงการแจ้งเตือนที่ผู้ใช้น่าจะสนใจที่สุดไว้บนสุด ซึ่งอ้างอิงตามการโต้ตอบระหว่างผู้ใช้กับแอปต่างๆ ส่วนข้อความด่วนก็จะมีการแจ้งเตือนในทันทีเพื่อไม่ให้การติดต่อที่สำคัญหลุดไปอยู่ในส่วนสรุป อีกทั้งยังสามารถปิดการแจ้งเตือนของแอปหรือหัวข้อการสนทนาใดก็ได้ง่ายๆ เป็นการชั่วคราวในช่วงหนึ่งชั่วโมงข้างหน้าหรือตลอดทั้งวัน
แอปสภาพอากาศและโน้ตโฉมใหม่
แอปสภาพอากาศมาพร้อมกราฟิกแสดงข้อมูลสภาพอากาศที่มีมากยิ่งขึ้น รวมถึงแผนที่แบบเต็มหน้าจอ และการจัดเลย์เอาท์แบบไดนามิกที่จะปรับเปลี่ยนไปตามสภาพอากาศขณะนั้น พร้อมกันนี้ยังมีภาพพื้นหลังเคลื่อนไหวที่ออกแบบขึ้นใหม่อย่างสวยงาม ซึ่งจะแสดงตำแหน่งของดวงอาทิตย์รวมถึงปริมาณฝนได้แม่นยำยิ่งขึ้น และมีการแจ้งเตือนเมื่อฝนหรือหิมะเริ่มตกหรือหยุดตกด้วย
แอปโน้ตเพิ่มแท็กที่ผู้ใช้สร้างเองได้ ซึ่งจะช่วยให้จัดประเภทโน้ตได้ง่ายและรวดเร็ว และสมาชิกของโน้ตที่แชร์ไว้สามารถใช้การกล่าวถึงเพื่อแจ้งให้อีกคนทราบเกี่ยวกับการอัปเดตที่สำคัญได้ มุมมอง “กิจกรรม” ใหม่แสดงประวัติการแก้ไขล่าสุดในโน้ตที่แชร์ไว้
อีกหลายคุณสมบัติที่น่าสนใจ
Siri เพิ่ม Announce Notifications บน AirPods ทำให้ผู้ใช้สามารถแชร์สิ่งที่อยู่บนหน้าจอได้เพียงแค่บอก Siri และยังทำอะไรๆ ได้อีกมากมาย
Shared with You ทำงานทั่วทั้งระบบเพื่อหาบทความ เพลง รายการทีวี รูปภาพ และอื่นๆ ที่แชร์ไว้ในการสนทนาของแอปข้อความ และนำมาแสดงให้ผู้ใช้เห็นในแอปอย่างรูปภาพ, Safari, Apple News, เพลง, พ็อดคาสท์ และ Apple TV อย่างสะดวกสบาย ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่สอดคล้องกับบริบทได้ง่ายและรวดเร็ว
iCloud+ มีครบทุกอย่างที่ผู้ใช้ชื่นชอบเกี่ยวกับ iCloud เสริมด้วยคุณสมบัติระดับพรีเมียมใหม่ๆ เช่น Hide My Email, การรองรับ HomeKit Secure Video ที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น และบริการใหม่สุดล้ำเพื่อความเป็นส่วนตัวทางอินเทอร์เน็ตในชื่อ iCloud Private Relay โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม9 สมาชิก iCloud ปัจจุบันจะได้รับการอัปเกรดเป็น iCloud+ โดยอัตโนมัติภายในปีนี้ และผู้ใช้สามารถแชร์แผนบริการ iCloud+ ทุกแบบกับสมาชิกกลุ่มการแชร์กันในครอบครัวได้ เพื่อให้ทุกคนได้เพลิดเพลินกับคุณสมบัติใหม่ๆ พื้นที่จัดเก็บข้อมูล และประสบการณ์การใช้งานอันเหนือชั้นที่มาพร้อมกับบริการนี้
แอปสุขภาพมีแถบการแชร์ใหม่ที่ให้ผู้ใช้แชร์ข้อมูลสุขภาพกับครอบครัว ผู้ดูแล หรือทีมผู้ดูแล พร้อมด้วยการวิเคราะห์แนวโน้มที่ช่วยให้ผู้ใช้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับค่าสุขภาพส่วนตัวต่างๆ อย่างมีความหมายและมุ่งเน้นพัฒนาในด้านนั้นได้ และยังมี Walking Steadiness ซึ่งเป็นค่าการวัดใหม่ที่จะส่งเสริมให้ผู้คนหันมาตั้งใจจัดการกับความเสี่ยงในการล้มอย่างจริงจัง
วันนี้ผู้ผลิตอุปกรณ์เสริม HomeKit สามารถใส่คุณสมบัติ “หวัดดี Siri” ให้กับผลิตภัณฑ์ของตนเองเพื่อให้ลูกค้าสามารถพูดคุยโต้ตอบกับ Siri บนอุปกรณ์ของบริษัทอื่นได้ โดยอุปกรณ์เสริมที่รองรับ “หวัดดี Siri” จะส่งต่อคำขอผ่านทาง HomePod หรือ HomePod mini และจะรองรับคุณสมบัติต่างๆ เช่น Personal Requests, Intercom, นาฬิกานับถอยหลัง และนาฬิกาปลุก และผู้ผลิตอุปกรณ์สมาร์ทโฮมสามารถทำงานร่วมกับ Apple เพื่อผนวกรวม Siri เข้ากับอุปกรณ์เสริมของตนได้ทันทีตั้งแต่วันนี้
“ค้นหาของฉัน” มาพร้อมความสามารถใหม่ๆ ที่จะช่วยระบุตำแหน่งของอุปกรณ์ที่ถูกปิดเครื่องหรือล้างข้อมูล รวมถึงการสตรีมตำแหน่งที่ตั้งแบบสดๆ สำหรับครอบครัวและเพื่อนๆ ที่เลือกจะแชร์ตำแหน่งของตัวเอง นอกจากนี้ยังมี Separation Alerts ที่จะแจ้งให้ผู้ใช้ทราบหากลืม AirTag, อุปกรณ์ Apple หรืออุปกรณ์เสริมที่ใช้เครือข่ายค้นหาของฉันทิ้งไว้ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย และวันนี้เครือข่ายค้นหาของฉันยังรองรับ AirPods Pro และ AirPods Max อีกด้วย พร้อมกันนี้ยังมีวิดเจ็ต “ค้นหาของฉัน” ที่ให้ผู้ใช้เหลือบดูตำแหน่งได้โดยตรงจากหน้าจอโฮม
แอปแปลภาษาเพิ่มคุณสมบัติ Live Translate ใหม่ที่จะทำให้การสนทนาต่างภาษามีความลื่นไหลเป็นธรรมชาติ พร้อมด้วยการแปลภาษาสำหรับทั้งระบบที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถแปลข้อความที่ไหนก็ได้บน iPhone
วันนี้แอป Apple TV เพิ่มแถวใหม่ในชื่อ “For All of You” ซึ่งจะแสดงคอลเลกชั่นรายการและภาพยนตร์ตามความสนใจของคนที่เลือกไว้หรือของทั้งครอบครัว ซึ่งเหมาะสำหรับการชมภาพยนตร์พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งบ้าน
การตั้งค่า iPhone เครื่องใหม่ช่วยให้ผู้ใช้เริ่มใช้งาน iPhone ได้ราบรื่นไม่มีสะดุดยิ่งกว่าที่เคย โดยที่ผู้ใช้ iPhone อยู่แล้วสามารถสำรองข้อมูลจากเครื่องเดิมไว้ใน iCloud ชั่วคราว ถึงแม้จะไม่ได้สมัครสมาชิกไว้ แล้วถ่ายโอนข้อมูลมายังเครื่องใหม่ได้ง่ายๆ และสำหรับผู้ที่เปลี่ยนมาใช้เป็น iPhone เป็นครั้งแรก ก็มีการปรับปรุงประสบการณ์ “ย้ายไปยัง iOS” ให้สามารถถ่ายโอนอัลบั้มรูป ไฟล์ โฟลเดอร์ และการตั้งค่าการช่วยการเข้าถึงมาได้ง่ายๆ เพื่อให้รู้สึกว่า iPhone นั้นเป็นเครื่องของตัวเองตั้งแต่เริ่มใช้
การช่วยการเข้าถึงทั่วทั้ง iPhone ขยายขีดความสามารถด้วยคุณสมบัติใหม่ๆ สำหรับ VoiceOver ที่ให้ผู้ใช้เรียนรู้รายละเอียดได้มากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับผู้คน ข้อความ ข้อมูลในตาราง และวัตถุอื่นๆ ในภาพ และเพื่อรองรับความหลากหลายทางระบบประสาท ก็มีการเพิ่มเสียงพื้นหลังใหม่ที่ช่วยลดการรบกวน และสำหรับผู้ที่หูหนวกหรือหูตึง Made for iPhone ก็จะรองรับเครื่องช่วยฟังแบบสองทิศทางใหม่ด้วย นอกจากนี้ยังมี Sound Actions สำหรับปรับแต่งการควบคุมสวิตช์ให้ทำงานกับเสียงของปากได้ และวันนี้ผู้ใช้ก็สามารถปรับแต่งการแสดงผลและขนาดข้อความในแต่ละแอปให้ต่างกันได้แล้ว Apple ยังเพิ่มการรองรับการตรวจสมรรถภาพการได้ยินจากแผนภูมิแสดงผลทดสอบการได้ยินที่อิมพอร์ตเข้ามาให้กับคุณสมบัติ “การช่วยปรับหูฟัง” หรือ Headphone Accommodations อีกด้วย
ทั้งหมดสามารถอ่านต่อได้ที่ สรุปมาให้แล้ว กับทุกฟีเจอร์ใน iOS 15 มีอะไรน่าสนใจบ้าง? มาดูกัน
ความแตกต่างของ iPhone 13 Pro Max ที่โดดเด่นชัดเจนคือ
สำหรับ iPhone 13 Pro / 13 Pro Max ส่วนที่แตกต่างกันแบบชัดเจนคือ
- หน้าจอของ iPhone 13 Pro / 13 Pro Max จะใช้ Pro Motion โดยมีหน้าจอความลื่นไหลเป็นพิเศษกว่าหน้าจอ iPhone 13 ปกติ
- กล้องหลังที่รูรับแสงเพิ่มขึ้นและครั้งแรกกับกล้อง Ultra Wide ที่รูรับแสงถ่าพถ่าพกลางคืนและ Macro ถ่ายแบบเข้าใกล้ได้แล้ว
- ขุมพลังอัปเกรด แรงขึ้น เหมือนจะกินไฟน้อยลง
- สีสันใหม่ Sierra Blue ยอมรับว่าสวยมาก
- ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นตามค่าเงินบาท
การทำงานของกล้องของ iPhone 13 Series
สำหรับกล้องคือส่วนที่เปลี่ยนแปลงเยอะมากสำหรับ iPhone 13 เพราะมีการใส่ลูกเล่นเยอะไม่ว่าจะเป็น
iPhone 13 Pro / iPhone 13 Pro Max ก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่น กล้อง Telephoto ซูมได้ 3 เท่า, กล้องเลนส์หลักจะมาพร้อมกับความละเอียด 12 ล้านพิกเซล F1.5 จะสามารถถ่ายภาพกลางคืนได้ดีมากขึ้น และ Ultra Wide รองรับ Auto Focus และความสว่างมากขึ้นกว่าเดิม และสามารถถ่ายภาพระยะใกล้ หรือ Macro ได้ ด้วยเลนส์ Ultra Wide
การปรับกล้องนั้นสามารถทำได้ลึกระดับ Skin Tone คือสามารถทำให้ผิวของคนนั้นสว่างหรือมืดได้ด้วย และยังปรับในเรื่องของพื้นหลังแยกต่างหากได้
นอกจากนี้การถ่ายวิดีโอของกล้อง iPhone 13 Pro / iPhone 13 Pro Max เพิ่มระบบการโฟกัสที่ทำงานได้เร็วและยังมีฟีเจอร์ Cinematic Camera สามารถปรับแต่งภาพวิดีโอฉากละลายหลังได้ดี แต่ยังไม่หมดครับเพราะมีการรองรับ ProRes Video ทำงานผ่าน A15 Bionic และความละเอียด 4K สามารถทำงานจบในเครื่อง เมื่อใช้งานจริงพบว่า การทำงานดีขึ้นจริงแต่ว่าลูกเล่นอย่าง Macro จะต้องเลงให้เหมาะสมไม่งั้นจะเกิดปัญหาคือกล้องจะสลับไปมาทั้งนี้การรีวิวนี้ยังเป็น Firmware ช่วงแรกๆ ของ iOS 15 ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตนี้ และการถ่ายวิดีโอในแบบละลายหลัง ความรู้สึกว่าจะมีความคล้ายกับ Portrait Video ของมือถือฝั่ง Android
ตัวอย่างภาพถ่าย
ส่วนระบบชาร์จไฟของ iPhone 13 Pro Max
จากการทดสอบประสิทธิภาพของแบตเตอรี่พบว่าสามารถใช้ได้นานกว่าเดิม แต่ว่าตัวเครื่องนั้นจะรองรับกำลังชาร์จไฟ 20W แต่การทดสอบนั้นสามารถชาร์จไฟได้มากกว่า 20W อยู่ครับ
สรุปสั้นๆ หลังจากทดสองใช้งาน iPhone 13 Pro Max
หลังจากที่ได้ทดลองใช้งาน iPhone 13 Pro Max เป็นอีกมือถือที่อาจจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงเยอะ แต่การปรับปรุงฟีเจอร์และการทำงานถือว่าลงตัวและใครที่ใช้งานวิดีโอเยอะๆ จะถูกใจเพราะฟีเจอร์ต่างๆ มีให้เล่นเยอะมาก แต่ต้องมีการศึกษาใช้งานที่ดี ซะก่อน
ราคา iPhone 13 Pro Max (กราไฟต์, ทอง, เงิน และ เซียร์ร่าบลู)
- iPhone 13 Pro Max ขนาดความจุ 128GB ราคา 42,900 บาท
- iPhone 13 Pro Max ขนาดความจุ 256GB ราคา 46,900 บาท
- iPhone 13 Pro Max ขนาดความจุ 512GB ราคา 54,900 บาท
- iPhone 13 Pro Max ขนาดความจุ 1TB ราคา 62,900 บาท
อย่างไรก็ตาม iPhone 13 Pro Max จะมาพร้อมกับ เป็นรุ่นที่สูงสุด ถ้ามองว่าแพงเกินไป ก็ยังมีให้เลือกระหว่างรุ่น iPhone 13 Pro / iPhone 13 ปกติก็สามารถเลือกได้เช่นเดียวกันครับ