พริษฐ์ ซัด ไวรัสประยุทธ์ ทำประเทศป่วย เปรียบแก้รธน.เหมือนฉีดวัคซีนเข็มแรก ลั่นข้อเสนอไม่ได้สุดโต่ง ยอมถอยแก้ไขระบบเลือกตั้ง
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 16 พ.ย.2564 ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมรัฐสภา ที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่…) พ.ศ. เสนอโดยนายพริษฐ์ วัชรสินธุ กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 135,247 คน
โดยนายพริษฐ์ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล ในฐานะผู้เสนอร่าง ร่วมกันชี้แจงว่า ประเทศไทยอยู่ในสถานะผู้ป่วย ที่ประสบ 3 โรคร้ายแรง คือ 1.โรคเศรษฐกิจอ่อนแอ 2.โรคความเหลื่อมล้ำเรื้อรัง และ3.โรคประชาธิปไตยหลอกลวง ที่ผ่านมาหลายฝ่ายพยายามเสนอยามาบรรเทาอาการ ไม่ว่าจะเป็นยาการปฏิรูประบบราชการ ยาการกระจายอำนาจ ก็ถูกปฏิเสธมาตลอด
เราพบว่าไวรัสที่ทำให้ประเทศไทยป่วยชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม หากกำจัดได้ ประเทศจะหายป่วยจากโรคทุกชนิด และกลับมาแข็งแรง แต่ไม่ใชว่าโรคจะหายไป เพราะเรายังมีระบอบประยุทธ์ที่ควบคุมอำนาจทุกอย่างเบ็ดเสร็จ กรอบกายสิทธิ์ที่ค้ำจุนระบอบประยุทธ์ คือ รัฐธรรมนูญปี 2560 ที่เขียนเพื่อสืบทอดอำนาจให้ระบอบประยุทธ์เท่านั้น
นายพริษฐ์ กล่าวอีกว่า การเขียนรัฐธรรมนูญที่ผูกขาดอำนาจทางการเมืองไว้ฝ่ายเดียว เปรียบเหมือนนักมวยที่ต่อยพลาดแค่ไหน กรรมการก็ตัดสินใจให้ชนะได้ทุกยก อาการแบบนี้แม้เราจะจ่ายยาฆ่าไวรัสที่ชื่อระบอบประยุทธ์ ออกไปได้ แต่ยังมีกลไกเครือข่ายที่ไม่มีประชาชนอยู่ในสมการ เราจึงต้องทำประเทศให้แข็งแรงด้วยการแก้รัฐธรรมนูญ เปรียบเหมือนการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 จากนั้นเข็มที่ 2 จะเป็นการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ดังนั้น จึงเสนอเนื้อหาปลดอาวุธ 4 อย่างคือ 1.ยกเลิกวุฒิสภา ใช้ระบบสภาเดี่ยว เนื่องจากส.ว.ปัจจุบัน โครงสร้างที่มาและอำนาจไม่สอดคล้องกัน ส.ว.มีอำนาจล้นฟ้า แต่ที่มาไม่ยึดโยงประชาชนและยังมีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน 2.ยกเลิกแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
3.ปฏิรูปที่มา อำนาจหน้าที่ การตรวจสอบถ่วงดุลของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ โดยแก้ไขอำนาจศาลรัฐธรรมนูญให้เหลือเฉพาะเรื่องร่างพ.ร.บ.ใดขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ การขัดแย้งระหว่างองค์กรเท่านั้น และให้ยกเลิกอำนาจการตรวจสอบเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ รวมถึงให้มีระบบถอดถอนศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระได้
4.ล้มล้างผลพวงรัฐประหาร โดยยกเลิกรัฐธรรมนูญ มาตรา 279 ที่รับรองคำสั่งและการกระทำของคสช.ชอบด้วยรัฐธรรมนูญปี 60 ที่สร้างหลุมดำ และรอยด่างพร้อยให้รัฐธรรมนูญ ที่ผ่านมาทำรัฐประหารกันจนเป็นประเพณี คิดว่าถ้ายึดอำนาจสำเร็จจะไม่มีวันถูกลงโทษหรือถูกดำเนินคดี จึงเป็นที่มาของการทำให้การรัฐประหารเป็นโมฆะ ไม่มีการนิรโทษกรรม จะต้องถูกดำเนินคดี ป้องกันไม่ให้มีการรัฐประหารอีก
“ทั้งหมดไม่ได้เป็นข้อเสนอที่สุดโต่ง ผมอยากเชิญชวนประชาชนดูความจริงใจของส.ว. เราไม่ได้ต้องการโจมตีใคร แต่ต้องการรื้อระบบที่ไม่เป็นธรรมในสังคม สร้างระบบที่เป็นกลางต่อทุกฝ่าย ข้อเสนอวันนี้ไม่ได้ทำลายล้างสถาบันทางการเมืองใดๆ แต่เป็นการคืนศักดิ์ศรีของสถาบันเหล่านั้น และทำให้รัฐสภาเป็นความหวังประชาชนอีกครั้ง แม้การรื้อระบอบประยุทธ์ เราไม่ได้ให้พล.อ.ประยุทธ์หมดอนาคต แต่ให้กลับมาสง่าผ่าเผย หากพล.อ.ประยุทธ์ กลับมาชนะการเลือกตั้งอย่างเสรีและเป็นธรรม” นายพริษฐ์ กล่าว
นายพริษฐ์ กล่าวว่า ส่วนเรื่องระบบเลือกตั้ง ขอให้สบายใจว่า เรายินดีแก้ไขเรื่องระบบเลือกตั้งในวาระที่ 2 ชั้นกรรมาธิการ (กมธ.) ให้เหมือนกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านไปแล้ว ขอเชิญชวนสมาชิกรัฐสภาว่าวันนี้ต้องไว้วางใจประชาชน โหวตรับหลักการ หากร่างนี้ผ่าน 3 วาระ ก็ต้องจัดทำประชามติ หากเห็นว่าร่างนี้แย่จริง ประชาชนจะโหวตคว่ำร่างนี้เอง และขอให้เลิกยก 16 ล้านเสียงประชามติ มาบอกว่าเป็นเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ แต่หากท่านยังเลือกตัดหน้าประชาชนไม่รับหลักการ การพิจารณาครั้งนี้จะถูกจดจำในประวัติศาสตร์การเมืองไทย และถูกบันทึกว่าท่านอภิปรายไม่ไว้วางใจประชาชน
นายปิยบุตร กล่าวว่า ตนไม่เห็นเหตุผลที่สมาชิกรัฐสภาจะไม่เห็นชอบร่างแก้ไขฉบับประชาชน หากเห็นชอบวาระ 1 ความเห็นที่ต่างกันยังมีโอกาสปรับปรุงในวาระ 2 และถ้าผ่านวาระ 3ไปได้ ยังมีหนทางร้องศาลรัฐธรรมนูญและการทำประชามติ ขั้นตอนการแก้รัฐธรรมนูญยังอีกยาว แต่อย่างน้อยให้ลงมติรับวาระรับหลักการ เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ได้ปิดประตูรับรับฟังร่างภาคประชาชน เพื่อให้เราได้ศาลรัฐธรรมนูญที่รับรองรัฐประหารหรือก่อวิกฤตการเมือง มีองค์กรอิสระที่เป็นกลาง รวมถึงคนทำรัฐประหารต้องถูกดำเนินคดี