นักสำรวจเชื่อว่าพบซากของเครื่องบินบริเวณก้นมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งคาดว่าเป็นของเอมิเลีย แอร์ฮาร์ต (Amelia Earhart) นักบินหญิงคนแรกที่บินเดี่ยวข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งเครื่องบินดังกล่าวและตัวเธอนั้นหายสาบสูญไปเกือบ 9 ทศวรรษ ตามรายงานของรอยเตอร์
โทนี โรมิโอ อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่ผันตัวมาเป็นนักสำรวจ หวังว่า หลักฐานที่เขาพบจากการใช้ข้อมูลของคลื่นโซนาร์จากโดรนสำรวจใต้ทะเลลึก อาจช่วยไขปริศนา 87 ปีนี้ได้ โดยเขาวางแผนที่จะเริ่มต้นภารกิจต่อไปในการค้นหาซากเครื่องบินดังกล่าวในปลายปีนี้ ซึ่งสหรัฐฯ เคยพยายามค้นหาแต่ภารกิจดังกล่าวล้มเหลวไปในปี 1937
โรมิโอ ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้บริหารบริษัทสำรวจของภาคเอกชน ดีพ ซี วิชั่น (Deep Sea Vision) เชื่อว่า ซากเครื่องบินของแอร์ฮาร์ตอยู่ก้นมหาสมุทรแปซิฟิก ที่ลึกลงไปมากกว่า 5,000 เมตรเหนือผิวน้ำ และอยู่ห่างจากเกาะฮาวแลนด์ไปราว 160 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ในพิกัดกึ่งกลางระหว่างรัฐฮาวายและออสเตรเลีย โดยอ้างอิงจากภาพถ่ายจากคลื่นโซนาร์อันเลือนราง ที่บันทึกได้จากโดรนสำรวจใต้ทะเลลึกได้เผยให้เห็นซากของสิ่งที่คล้ายกับเครื่องบิน อยู่ในก้นมหาสมุทรที่เต็มไปด้วยทราย
ทีมงาน 16 ชีวิตของบริษัทดีพ ซี วิชั่น ใช้เวลากว่า 100 วันในช่วงปลายปีที่แล้ว ในการค้นหาพื้นที่มากกว่า 13,400 ตารางกิโลเมตรใต้ทะเล ก่อนจะพบภาพดังกล่าว โรมิโอกล่าวว่า ภาพนี้ตรงกับขนาดของเครื่องบินรุ่น 10-อี อิเล็กทรา (10-E Electra) ของบริษัทล็อกฮีด มาร์ติน ที่เอมิเลียขับไปก่อนหายสาบสูญ
โรมิโอ กล่าวว่า ขั้นตอนจากนี้ คือ การยืนยันความถูกต้องของหลักฐานที่ได้รับ และหากเป็นไปได้จะต้องนำซากดังกล่าวขึ้นมาบนผิวน้ำและตรวจสอบมันอย่างถี่ถ้วน ซึ่งกระบวนการดังกล่าวต้องใช้เวลาหลายปีทีเดียว
โรมิโอเชื่อว่า แอร์ฮาร์ต ประสบปัญหาเชื้อเพลิงหมดระหว่างการเดินทาง และนำเครื่องบินลงจอดที่ผิวน้ำ ก่อนที่เครื่องบินจะจมลงก้นมหาสมุทรในที่สุด และว่า ตราบใดที่ยังไม่พบแอร์ฮาร์ต จะยังมีคนที่ออกตามหาเธออยู่ต่อไป และหวังว่าจะเป็นผู้ที่ช่วยหาบทสรุปของเรื่องราวนี้และพาอะมีเลียกลับบ้านให้ได้
เอมิเลีย แอร์ฮาร์ต นักบินหญิงอเมริกันคนแรก และเป็นนักบินคนที่สองที่บินเดี่ยวข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกแบบต่อเนื่อง เมื่อปี 1932 หลังจากชาลส์ ลินเบิร์ก บรรลุภารกิจดังกล่าวได้ก่อนหน้านั้น แอร์ฮาร์ตพยายามจะทำภารกิจบินรอบโลกก่อนที่เครื่องบินของเธอจะหายไปเหนือมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งหากแอร์ฮาร์ตประสบความสำเร็จในภารกิจนี้ เธอจะกลายเป็นสตรีคนแรกของโลกที่ทำได้