พท.ยก 4 ข้อ แนะรัฐวางบทบาทไทยเป็นผู้นำ ไม่ใช่แค่ผู้จัดงานเอเปค โวสมัย “ทักษิณ” ทำสำเร็จมาแล้ว
เมื่อวันที่ 15 พ.ย.65 นางนลินี ทวีสิน ประธานคณะทำงานนโยบายด้านต่างประเทศ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปคในวันที่ 17-18 พ.ย.นี้ว่า รัฐบาลควรใช้โอกาสในฐานะเจ้าภาพการจัดประชุมเอเปค เพื่อผลักดันให้เกิดประโยชน์สูงสุดของประเทศไทยและประเทศสมาชิกในกลุ่มเอเปคดังนี้
1.การประชุมสุดยอดผู้นำเอเปคในกรุงเทพฯ ถือเป็นโอกาสทองของไทยที่จะผงาดในเวทีโลกอีกครั้ง หลังจากรัฐบาลละเลยการนำไทยให้มีบทบาทผู้นำในเวทีนานาชาติ ซึ่งต้องมีความเข้าใจทิศทางของการเมืองระหว่างประเทศ ความต้องการของแต่ละประเทศอย่างลึกซึ้ง สามารถเชื่อมความสัมพันธ์ของนานาประเทศให้เกิดประโยชน์ในหลายมิติได้ หากพรรคพท.เป็นรัฐบาล พรรคมีความเข้าใจและเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำหน้าที่นี้ได้สำเร็จดังที่เคยปรากฏมาแล้วในอดีตสมัยรัฐบาลไทยรักไทยภายใต้การนำของนายทักษิณ ชินวัตร ในฐานะเจ้าภาพการจัดประชุม สุดยอดผู้นำเอเปคเมื่อเดือนต.ค.46 ได้ใช้ยุทธศาสตร์ทางการต่างประเทศผลักดันให้เกิดความร่วมมือที่หลากหลาย รวมทั้งขยายไปสู่ความร่วมมืออื่นๆ อาทิ ACD และ ACMECS มาแล้ว
นางนลินี กล่าวต่อว่า 2.โมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า BCG หรือ Bio-Circular-Green Economy เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งเป็นแนวคิดหลักของการประชุมเอเปคนั้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ไทยต้องการมากกว่านั้น รัฐบาลควรใช้เวทีเอเปคเป็นโอกาสในทางการทูต แสดงศักยภาพเป็นผู้นำในการสมานฉันท์รอยร้าวระหว่างประเทศ ที่จะเป็นอุปสรรคใหญ่ของการบรรลุเป้าหมายทางการค้าโดยรวมของประเทศสมาชิก อาทิ ความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐ รัฐบาลยังควรใช้โอกาสนี้สร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับกลุ่มอาเซียน ผลักดันให้เมียนมาร์เปิดการเจรจาในประเทศยุติความรุนแรง เพื่อสร้างสันติภาพในภูมิภาค เปลี่ยนสนามรบให้เป็นตลาดการค้า เพราะสันติภาพคือกุญแจสำคัญของเศรษฐกิจในภูมิภาค หากไร้ซึ่งสันติภาพแล้ว เป้าหมายทางเศรษฐกิจใดๆ ก็คงไม่สามารถบรรลุได้
3.การประชุมเอเปคเป็นเวทีสำคัญเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างพันธมิตรและอีกหลายประเทศ การร่วมประชุมของประธานธิบดีสีจิ้นผิงถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง รวมถึงการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและซาอุดีอาราเบีย ทว่ารัฐบาลควรสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่สมดุลในสายตาของต่างประเทศ การเปลี่ยนวันจัดงานกาลาดินเนอร์เร็วขึ้นเป็นวันที่ 17 พ.ย.อย่างกะทันหัน สร้างความไม่สะดวกให้ผู้นำและผู้แทนอีกหลายประเทศ รัฐบาลควรระวังอย่าให้การบริหารจัดการที่ไม่ลงตัว ผลักมิตรให้กลายเป็นศัตรูในการประชุมครั้งนี้ด้วย
นางนลินี กล่าวอีกว่า 4.ในฐานะเจ้าภาพการจัดประชุมเอเปค ไทยควรเปิดให้ภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประชุมสุดยอดผู้นำภาคเอกชนของเอเปค (APEC CEO Summit) และสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจของเอเปค (APEC Business Advisory Council ABAC) เข้ามามีส่วนร่วมแลกเปลี่ยน เสนอความคิดเห็นในการประชุมเอเปคมากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะมุมมองของภาคธุรกิจ คือมุมมองจากผู้มีประสบการณ์ ที่จะนำแนวคิดของเอเปคไปปฏิบัติให้เกิดขึ้นได้จริง รัฐบาลจึงควรใช้ภาคเอกชนไทยเป็นหัวหอกสำคัญส่วนหนึ่ง ขับเคลื่อนให้ไทยสามารถบรรลุได้ตามเป้าหมายหลักของการประชุมครั้งนี้ ยกตัวอย่างโครงการที่เป็นรูปธรรมอย่างบัตรเดินทางสำหรับนักธุรกิจเอเปค (APEC Travel Card) ซึ่งสามารถต่อยอดไปสู่สิทธิประโยชน์อื่นๆได้อีกมากมาย จึงขอฝากข้อแนะนำเหล่านี้เพื่อให้รัฐบาลตัดสินใจ ว่าจะวางบทบาทให้ประเทศไทยเป็นเพียงผู้จัด หรือผู้นำในเวทีประชุมสุดยอดผู้นำเอเปค 2565 นี้