เพื่อไทย ชี้งบ 66 ชักหน้าไม่ถึงหลัง ต้องกู้เงินชดเชยขาดดุลอีก 6.95 แสนล้านบาท ชี้ ประยุทธ์ ยิ่งอยู่นาน ประเทศยิ่งเสียโอกาสพัฒนา
เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2565 นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงการบริหารงานภายใต้รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า เป็นยุคสุญญากาศที่ประเทศไทยถูกแช่แข็ง ขาดการพัฒนา อันเนื่องมาจากการบริหารงานที่ล้มเหลว สร้างเศรษฐกิจไม่ได้ หารายได้ให้ประเทศไม่เป็น ขณะที่งบประมาณรายจ่ายสำหรับรายจ่ายประจำสูง จากขนาดของราชการที่ใหญ่โตเทอะทะ
นายชนินทร์ กล่าวต่อว่า ยิ่ง พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ นานเท่าไร ประเทศยิ่งเสียโอกาสในการพัฒนานานเท่านั้น สะท้อนให้เห็นได้ผ่านการใช้งบประมาณของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ทั้ง 2 ส่วน ได้แก่
1.การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ที่กำลังจะเข้าสภาฯ มูลค่า 3.185 ล้านล้านบาทนั้น เป็นงบประมาณขาดดุลที่จำเป็นต้องกู้เงินชดเชยสูงถึง 6.95 แสนล้านบาท คิดเป็น 22% เพื่อมารองรับงบลงทุนทั้งหมด เต็มเพดานวินัยการเงินการคลัง นั่นหมายความว่าถ้ารัฐบาลไม่สามารถกู้เงินมาเติมในงบประมาณได้ ประเทศจะไม่มีงบลงทุนเลยแม้แต่บาทเดียว
สะท้อนถึงความไร้ศักยภาพของรัฐบาล ไม่สามารถสร้างเศรษฐกิจ จัดหารายได้มากกว่างบประมาณรายจ่ายปกติได้เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน อีกทั้งรายการใช้จ่ายในงบลงทุนยังคงไร้ทิศทาง กระจัดกระจาย ไม่มียุทธศาสตร์ ไม่เห็นหนทางพลิกฟื้นเศรษฐกิจได้เลย
นายชนินทร์ กล่าวอีกว่า 2.เงินนอกงบประมาณจาก พ.ร.ก.เงินกู้อีก 5 แสนล้านบาทที่อนุมัติไปในปีที่แล้วนั้น ปัจจุบันเหลืองบประมาณให้เบิกใช้อีก 7 เดือนถึงสิ้นปี 2565 เพียง 4.8 หมื่นล้านบาท เฉลี่ยเพียงเดือนละ 6 พันกว่าล้านบาทเท่านั้น ทั้งนี้ งบที่ใช้ไปแล้วกว่า 4 แสนล้าน ส่วนใหญ่หมดไปกับรายจ่ายเยียวยาจากการบริหารจัดการที่ผิดพลาด และโครงการกระตุ้นกำลังซื้อผ่านมาตรการต่างๆ โดยไม่ได้มีโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ หรือการผลักดันส่งเสริมธุรกิจใหม่ที่ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างเป็นรูปธรรมที่ยั่งยืน
“การบริหารงานของพล.อ.ประยุทธ์ปิดประตูการพัฒนาประเทศ งบประมาณรายจ่ายชักหน้าไม่ถึงหลัง ถนัดสร้างหนี้เพิ่มให้ลูกหลาน กู้เงินนอกงบประมาณมาแต่ใช้ไม่เกิดประโยชน์ ยิ่งอยู่นาน ประชาชนรายได้ยิ่งไม่มี แต่หนี้บาน การพิจารณารับร่างงบประมาณปี 2566 วาระ 1 ในรอบนี้ คงต้องพิจารณากันอย่างหนักเพื่อให้การใช้งบประมาณรอบนี้เป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง” นายชนินทร์ กล่าว