พท.จี้ ประยุทธ์ เลิกแก้ปัญหาแบบ “เช้าชามเย็นชาม” แนะ โมเดลเมืองนอกมาพัฒนา

Home » พท.จี้ ประยุทธ์ เลิกแก้ปัญหาแบบ “เช้าชามเย็นชาม” แนะ โมเดลเมืองนอกมาพัฒนา


พท.จี้ ประยุทธ์ เลิกแก้ปัญหาแบบ “เช้าชามเย็นชาม” แนะ โมเดลเมืองนอกมาพัฒนา

“เพื่อไทย” จี้ “ประยุทธ์” แก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบเป็นระบบ ชี้ เช้าชามเย็นชามแบบที่ผ่านมา จะแก้ปัญหาไม่ได้ แนะ ดูโมเดลความสำเร็จของต่างประเทศ นำมาพัฒนา

วันนี้ (10 พ.ย.) นายพชร นริพทะพันธุ์ กรรมการบริหาร และ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยทรุดหนักมาตลอด 7 ปี จากผลงานการบริหารเศรษฐกิจที่ล้มเหลวของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และยังมาเจอกับวิกฤตการณ์ไวรัสโควิดซ้ำเติม ทำให้เศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้วยิ่งทรุดหนักเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ปีนี้เศรษฐกิจของประเทศต่างๆในโลกได้ฟื้นแล้ว แต่เศรษฐกิจของไทยกลับยังไม่ฟื้น เศรษฐกิจโลกปีนี้จะขยายตัวได้ถึง 5-6% ตามการคาดการณ์ของ ธนาคารโลก และ องค์การการเงินระหว่างประเทศ (IMF) แต่เศรษฐกิจไทยกลับขยายตัวได้ต่ำเตี้ยโดยจะขยายตัวได้อาจจะไม่ถึง 1% ทั้งที่ปีที่แล้ว เศรษฐกิจไทยตกหนักติดลบมากสุดถึง -6.1% ปีหน้าก็ยังไม่แน่นอน เพราะธนาคารโลกบอกไทยจะขยายตัวได้เพียง 3.6% เท่านั้น ในขณะที่แบงค์ชาติคาดการณ์ไทยขยายได้ 3.9% ซึ่งยังไม่เท่ากับที่ตกลงมาในปี 2563 เลย ประชาชนจะต้องทนลำบากกันอย่างมาก

ดังนั้น หากประเทศไทยหวังจะฟื้นเศรษฐกิจให้กลับมาแข็งแกร่ง จะมาคิดทำงานแบบเช้าชามเย็นชามเหมือนในอดีตที่ผ่านมา 7 ปี ไม่ถูกด่าไม่คิดทำงาน ไม่ได้แล้ว แต่จะต้องคิดล่วงหน้า และตามโลกให้ทัน สถานการณ์ของโลกได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อย่าไปคิดว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นเองเหมือนในอดีตที่ผ่านมาได้ เพราะการลงทุนทั้งจากต่างประเทศและในประเทศได้หายไปมากตลอด 7 ปี แถมธุรกิจเดิมที่มีอยู่ก็เริ่มจะล้าสมัยกันแล้ว หากปล่อยแบบนี้ ประเทศไทยจะนับถอยหลังสู่ความเสื่อมถอยถึงขั้นล้มละลายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นายพชร กล่าวอีกว่า แนวทางการบริหารเศรษฐกิจของพลเอกประยุทธ์ที่ผ่านมา พิสูจน์แล้วว่า ล้มเหลว ล้าสมัย และ รอวันเจ๊ง ซึ่งไม่เหมาะที่จะบริหารประเทศนี้ต่อไปแล้ว ต้องถึงเวลาของคนรุ่นใหม่ มีแนวคิดใหม่ๆ สร้างธุรกิจใหม่ๆให้เกิดขึ้น เพื่อให้เศรษฐกิจไทยก้าวกระโดดไปข้างหน้าต่อไป ขนาดบริษัทที่ทันสมัยอยู่แล้วอย่าง Facebook ยังต้องปรับเปลี่ยนตัวเป็น Metaverse ซึ่งก้าวหน้าต่อไปอีกขั้น โดยนำ เทคโนโลยีเสมือนจริง AR (Augmented Reality) และ VR (Virtual Reality) เข้ามาพัฒนาร่วมกัน หรือ แม้แต่ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ที่เก่าแก่ยังต้องปรับตัวเองเป็นบริษัทเทคโนโลยี เปลื่ยนชื่อเป็น SCBX และเพิ่งเข้าซื้อหุ้นบริษัท Bitkup 51% ในราคา 17,850 ล้านบาท ซึ่งเปลี่ยนโฉมธุรกิจไปอย่างสิ้นเชิง แล้วพลเอกประยุทธ์ที่ไม่เข้าใจพลวัตรของโลกจะก้าวทันโลกได้อย่างไร

ดังนั้นโจทย์ใหญ่ของประเทศไทยในการจะก้าวไปข้างหน้า รัฐบาลอนาคตจะต้องมีแนวคิดในพัฒนาเศรษฐกิจต่อไปอย่างไร จะคิดแค่ ผักชีแพงให้ทหารปลูกผักชี ข้าวราคาตกเพราะนักท่องเที่ยวไม่เข้ามา น้ำท่วมให้เลี้ยงปลา น้ำแล้งให้ขุดบ่อ ไทยแลนด์พาส ต้องให้คนไทยตกค้างกลับประเทศไม่ได้เป็นหมืนๆคน แบบนี้ ชาติหน้าตอนบ่ายๆก็ยังคงพัฒนาประเทศไม่ได้

แนวทางการฟื้นเศรษฐกิจของประเทศไทย จะต้องคำนึงว่าจะรักษาธุรกิจเดิมให้รอดต่อไปได้อย่างไร โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวที่หนักหนาสาหัสกันอย่างมาก ในขณะเดียวกันต้องคิดว่าจะสร้างธุรกิจใหม่ๆให้เกิดขึ้นอย่างไร โดยเฉพาะธุรกิจด้านเทคโนโลยีที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างมหาศาล การสร้างบรรยากาศและสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาธุรกิจประเภทนี้ได้เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะธุรกิจประเภทนี้จะเกิดขึ้นเองได้ยาก ถ้าระบบราชการยังเป็นอุปสรรค

“ล่าสุดผมเองได้พบกับผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทโกเจ็ก (Gojek) บริษัทเทคโนโลยีระดับยูนิคอร์นของอินโดนีเซียที่รู้จักกันมานานกว่า 10 ปี ซึ่งเพิ่งควบรวมกับ บริษัทโตโกพิเดีย (Tokopedia) บริษัทเทคโนโลยีระดับยูนิคอร์นอีกแห่งหนึ่งเช่นกัน ทำให้มูลค่ารวมของบริษัทพุ่งขึ้นไปถึง 18,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 600,000 ล้านบาท) เป็นตัวอย่าง ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะนำหลักคิดและแนวทางที่ประสพความสำเร็จในต่างประเทศมาใช้พัฒนากับประเทศไทยในอนาคต โดยได้เตรียมข้อมูลและรายละเอียดไว้พร้อมแล้ว หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลโดยมีผู้นำเป็นคนรุ่นใหม่ การพัฒนาธุรกิจดังกล่าวจะสามารถทำได้ทันที ขอให้ประชาชนมั่นใจ” นายพชร กล่าว

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ