พชร์ อานนท์ งงเบนซ์คู่กรณีจ่อฟ้องกลับ อ้างเส้นใหญ่ เชิดใส่ไม่กลัว เตือนผู้ใหญ่อย่าช่วยคนผิด แฉอีกฝ่ายมีคดีหัวร้อนหลายเคส-เคยชักปืนขู่
ผู้กำกับฯ ชื่อดัง พชร์ อานนท์ เปิดใจถึงนาทีที่โดนรถหรู ขับปาดหน้า พร้อมลงมาทุบรถ จนเจ้าตัวต้องเข้าแจ้งความ ล่าสุดทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่าทางฝ่ายคู่กรณี เตรียมฟ้องกลับ
เหตุการณ์วันนั้นเกิดอะไรขึ้น? “วันนั้นเสร็จจากประชุมกำลังจะไปออกกำลังกาย เราขับอยู่เลนซ้ายสามารถตรงได้ตลอด ไม่ต้องรอไฟแดง พอไปถึงไฟแดงเราเห็นรถสีเงินจอดอยู่ เราไม่เห็นรถคู่กรณีก็สงสัยว่าทำไมเขาจอด รถคันข้างหลังเราเขาก็บีบแตร เพราะเขารู้ว่าอยู่เลนซ้ายตรงได้ตลอด รถคันข้างหลังบีบแตรไล่รถเรา เราก็บีบแตรเพื่อให้รถคันสีเงินที่อยู่ข้างหน้า เราเห็นว่ารถคันสีเงินไม่กล้าที่จะไปแต่พอรถเราออกตัวไป ถึงได้เห็นรถคันสีดำที่เป็นคู่กรณีจอดอยู่ซ้ายมือเพื่อที่จะเล่นงานรถคันสีเงิน เราเห็นและกล้องหน้ารถของเราจับภาพได้ พอรถสีเงินออกตัวรถคันสีดำก็ปาดหน้าสีเงินเลย ตอนนั้นเราไม่ได้สนใจเพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องของเรา ใจเราก็อยากดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น ขับรถมาได้สักพักหนึ่งก็บอกคนขับว่าไปดูหน่อยไหมสงสารเขา
เราคิดว่ารถคันสีเงินน่าจะบอกคนขับที่ลงมาโวยวายว่าเขาไม่ได้บีบแตร คันเราเป็นคนบีบแตร
ซึ่งเราก็บีบ ที่บีบเพราะข้างหลังบีบไล่เรามา การบีบแตรบนท้องถนนมันไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายแล้วเราก็ไม่ได้บีบไล่ เราแค่บีบเตือนจะบอกว่าน้องไปได้แล้วเลนนี้ตรงได้ตลอด
สักพักรถคันคู่กรณีตามรถเรามาแล้วขับปาดหน้าบอกให้เราจอด บอกจอดเดี๋ยวนี้ลงมาเคลียร์กันหน่อย เราก็อ้าว มีปัญหาอะไร เราขับรถถูกต้อง ที่สำคัญเราขับรถช้ามากไม่ได้เกเรใคร
สำหรับคนที่สงสัยว่าทำไมคนขับรถของเราไม่ขับรถหนีไปตอนนั้น มันไปไม่ได้เพราะว่าทางซ้ายขวามีรถแล่นอยู่ตลอด และรถเราเป็นรถใหญ่มันไปไม่ได้
คนขับรถเขาก็ขับตรงไปแต่รถคันคู่กรณีก็มาปาด ขวางหน้าและลงมาจากรถเลย เราเคยเห็นแต่ในทีวีเห็นแต่ข่าวเหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเจอ เราก็กลัวบอกให้คนขับไปไม่ต้องสนใจเพราะว่าเราไม่ผิด เราแค่บีบแตรเตือน ซึ่งการบีบแตรไม่ผิดกฎหมายแต่การขับรถสะวี้ดสะว้าดอันนี้ผิดกฎหมายกล้องหน้ารถของเราจับภาพตรงนี้ไว้
พอเขาเดินลงมาจากรถ มาถึงเขามาตบที่หน้าต่างด้านข้าง เสียงดังมาก เราบอกคนขับว่าไปไม่ต้องไปสนใจมัน เพราะว่าเราไม่อยากมีเรื่อง คือถ้าเกิดเราเจอคนหัวร้อน เราก็อย่าไปหัวร้อนใส่เพราะไม่ยังงั้นเดี๋ยวตีกันตาย ถ้าเกิดเขามีปืนมันยิ่งอันตรายมากไปใหญ่ เราก็ต้องทำใจให้สงบตั้งสติแล้วบอกให้คนขับขับหนีไปไม่ต้องสนใจและโทรศัพท์หาตำรวจให้ตำรวจมาจัดการ
ซึ่งตอนนั้นลูกน้องเราก็โทรหาตำรวจ ตำรวจถามว่าอยู่ตรงไหน มันไม่ทันการณ์กว่าที่ตำรวจจะมาคนนี้เขาก็ไม่ยอมไม่ให้เราไป คือกูไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายเลย เสร็จแล้วเลี้ยวไปเราก็ไปเจอป้อมตำรวจตรงรัชดา บอกว่าเจอรถคันหนึ่งปาดหน้า เขามีปัญหากับรถคันคนอื่นก่อนแล้วเขาก็มาเล่นงานรถคันผม ให้คุณตำรวจช่วยดักไว้ด้วยตำรวจก็บอกว่าได้ เสร็จแล้วเราก็เดินทางต่อแต่ว่ารถคันนั้นก็ไม่ได้ตามมา พอออกกำลังกายเสร็จก็คิดว่าไปแจ้งความดีกว่าเพื่อความสบายใจของเรา
สาเหตุที่เราไปแจ้งความเพื่อลงบันทึกประจำวันว่าเราเจอเหตุการณ์อย่างนี้เวลาที่เขาไปพูดกับตำรวจ เราเลยป้องกันไว้ก่อน ทางที่ดีมีเรื่องอะไรเราควรไปแจ้งความไว้ก่อน ถึงมันจะไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็ตาม แต่เราก็ไปลงบันทึกประจำวันไว้เวลามีอะไรตำรวจจะได้รู้เห็น เราก็ไปแจ้งที่ สน.ห้วยขวาง
เราไม่ใช่คนขับเราเป็นพยานเพราะคนขับเป็นลูกน้องเรา ตำรวจเขาก็เทคแคร์ดี หากล้องวงจรปิดเพื่อดูว่าคนนี้คือใคร เราไม่รู้จักเขาเลย ตำรวจหาประวัติได้และโทรตามคนนี้ประมาณสี่ทุ่ม บอกว่าให้มารายงานตัวที่สถานีตำรวจ เขาก็ไม่ยอมมา ไม่มาเราก็ไม่ได้ว่าอะไร จริงๆ เราไม่ได้อยากมีเรื่องอะไรแค่อยากจะเตือนว่าคุณมาทำแบบนี้บนท้องถนนไม่ได้เพราะนี่เป็นถนนสาธารณะเราต้องใช้ร่วมกันต้องมีน้ำใจ เพราะกฎหมายเกี่ยวกับท้องถนนบ้านเรามี ถ้าเกิดคุณระงับอาการหัวร้อนของคุณไม่ได้ คุณก็อยู่ที่บ้านดีกว่าอย่าออกมาขับรถเลยเดี๋ยววันอังคารเราต้องไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจในฐานะพยานเพราะว่าเรานั่งอยู่หลังรถและเห็นเหตุการณ์ตลอด
โชคดีที่เราติดกล้องหน้ารถดีว่าจะไปติดกล้องหลังรถด้วยเราก็เตือนคนที่ขับรถบนท้องถนนว่าให้ติดกล้องหน้ารถเพราะถึงแม้เราจะเป็นคนขับรถเรียบร้อยหรือขับรถดียังไงแต่ถ้าเกิดเราไปเจอคนที่ขับรถไม่ดีคนถนนถ้าเรามีกล้องวงจรปิดเราจะได้มีหลักฐาน ส่วนตัวเป็นคนขับรถไม่เร็วอยู่แล้วไม่เกิน 80 ถ้าเกิดขับในกรุงเทพเพราะว่าเราเป็นคนกลัวความเร็ว”
ตำรวจได้บอกอะไรเราบ้าง หลังจากที่ฝ่ายโน้นไม่ยอมมารายงานตัว? “เขาบอกว่าถ้าเรียกไม่มาเดี๋ยวคงต้องออกหมายจับ และทางตำรวจแจ้งมาว่าคู่กรณีเขาจะฟ้องกลับ เราก็ว่าจะฟ้องฉันเรื่องอะไร จริงๆ เราไม่ได้อยากที่จะเอาเรื่องอะไร แค่อยากจะเตือนว่าคุณทำอย่างนี้กับคนอื่นไม่ได้
แต่พอเขาบอกว่าเขาจะฟ้องกลับ เราก็คิดตั้งนานว่าจะฟ้องกลับฉันข้อหาอะไร แล้วเรามาอ่านข่าวเจอคดีเก่าของเขาที่หลักสี่ที่บอกว่ามอเตอร์ไซค์ปาดหน้าและมีการชักปืนออกมา เราก็เลยรู้ว่าคุณคนนี้เขาหัวร้อนอย่างไรเพราะเขาเคยทำแบบนี้มาแล้ว จะมาฟ้องกลับอะไรเพราะฉันไม่ได้เป็นคนเอาชื่อไปลง นักข่าวเป็นคนหาเองส่วนตัวไม่รู้ด้วยว่าเขาเป็นใครแต่ตำรวจเป็นคนสืบให้ และนักข่าวก็เป็นคนโทรไปหาตำรวจที่โรงพักว่าชื่อนี้เป็นใคร แล้วเขาก็ไปค้นประวัติเจอว่าคนนี้เคยทำเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่งแถวหลักสี่
ฉันไม่ได้กลัวฟ้อง ก็ฟ้องมา เราแค่อยากจะเตือนว่าคุณจะขับรถแบบนี้บนท้องถนนไม่ได้แต่ถ้าคุณเป็นแบบนี้คุณไม่ต้องขับรถหรอกคุณอยู่บ้านดีกว่า
การที่เราเอาคลิปมาโพสต์มันเป็นการโพสต์เตือน ไม่ได้บอกว่าเขาเป็นใครและเราก็มีการเบลอหน้าและที่สำคัญเขาไม่มีป้ายทะเบียน ขับรถไม่มีป้ายทะเบียนมาบนถนนไม่ได้ มันผิดกฎหมาย
และตอนนั้นตกใจมาก เขาทุบแรงมาก คุณไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้กับคนอื่นแล้ว คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะมาข่มขู่เรา และที่สำคัญเราไม่ได้ทำอะไรผิดเราขับรถบนถนนปกติ อยู่ๆ จะมาฟ้องกลับเรา ฟ้องเลยไม่ได้กลัวอะไรอยู่แล้ว เพราะว่าทนายเราก็มีอยู่
ซึ่งก็ถือว่าเป็นความโชคดีของเรา เพราะว่าเขาก็เคยทำแบบนี้เมื่อประมาณสองปีที่แล้ว เขาเคยทำครั้งที่หนึ่งและมีครั้งที่สอง ครั้งที่สามครั้งที่สี่ครั้งที่ห้ามันก็ต้องมี ทางตำรวจบอกว่าเขารู้จักผู้ใหญ่ คือจะบอกผู้หลักผู้ใหญ่ว่า ถ้าไปช่วยคนอย่างนี้คนที่จะเสียคือผู้ใหญ่นะ อย่าไปช่วยคนแบบนี้คุณต้องช่วยให้เขาอยู่ที่บ้านสงบสติอารมณ์อยู่ที่บ้าน จะไปหัวร้อนใส่คนโน้นคนนี้เขาไม่ได้ ถ้าคุณเป็นผู้ใหญ่ต้องรู้จักอันไหนถูกอันไหนผิด คุณดูคลิปของผมก็รู้แล้วว่าใครผิดใครถูก ผมนั่งอยู่บนรถของผมไม่ได้ทำอะไรแต่เขามาทำร้ายรถผม แล้วถ้าเกิดวันนั้นเกิดเหตุแบบเมื่อสองปีที่แล้วมันจะเป็นยังไง
ใครที่บอกว่าเขามีผู้ใหญ่ดูแลอยู่ ไม่ต้องเตือนผมเพราะผมจะบอกผู้ใหญ่คนนั้นหรือว่าอย่าไปยุ่งเรื่องนี้เพราะเรามีหลักฐานพร้อมให้ผู้ใหญ่คนนั้นดูคลิป ไม่ใช่ช่วยเหลือกันไปช่วยเหลือกันมา มันก็จะเป็นกรณีใหญ่โตว่าคนผิดไม่โดนลงโทษเหรอ อยากบอกผู้ใหญ่คนนั้นเลยว่าอยากไปช่วยอะไร ที่มันไม่ถูกต้อง คือเขาบอกกับตำรวจตรงนั้นว่าเขารู้จักกับผู้กำกับคนนั้นคนนี้ไหม เจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็บอกว่าเขาลาออกไป แต่ถ้าเกิดคุณผู้ใหญ่ที่จะช่วยเขาคิดให้ดีๆ ว่าเขาผิดหรือเขาถูก เพราะว่าประชาชนเริ่มตาสว่างกันมากขึ้นแล้ว”
กลัวโดนคุกคามไหม? “เรากลัวนะ เพราะว่าเราอยู่ในที่สว่าง ทุกคนรู้จักพชร์ อานนท์หมด แต่เราไม่รู้จักว่าเขาเป็นใคร เราก็กลัวแต่ไม่เป็นไร เราก็ให้ทางตำรวจมาช่วยดู เราทำสิ่งที่ถูก ไม่ต้องกลัว เพราะว่าตอนนี้ตำรวจก็มาดูแลเราอยู่ นี่เป็นพชร์ อานนท์นะ ถ้าเกิดเป็นชาวบ้านตาสี ตาสา ไม่ตกใจตายเหรอ คือพอเป็นเรา มันก็เป็นข่าวได้เร็ว แต่ชาวบ้านที่โดนแบบนี้เยอะแล้วไม่เป็นข่าวเพราะฉะนั้นอะไรที่ไม่ดีเราก็ต้องตัดตอนไว้ก่อนเพื่อให้คนอื่นจะได้ปลอดภัยด้วยเรามองถึงส่วนรวม”
มีใครโทรมาขอเคลียร์ไหม? “ไม่มี แต่เขาโทรไปหาทางตำรวจว่ารู้จักกับผู้ใหญ่คนโน้นคนนี้ คือวันนั้นเราอยู่ด้วยก็เลยได้ยิน ถ้าผู้ใหญ่คนไหนที่คิดจะช่วยคนผิด อย่าเลย อย่าเอาหน้าที่การงานหรือบารมีที่คุณมีอยู่ช่วยคนผิดไม่อย่างนั้นบารมีหรือว่าพลังของคุณก็จะหายไปหมด เราไปช่วยคนที่เขาทำอะไรถูกต้องดีกว่า ขอเตือนแฟนๆ ที่ขับรถบนท้องถนนเลยว่าการขับรถอย่าประมาทควรที่จะติดกล้องหน้ารถและหลังรถด้วยเพื่อที่เราจะได้มีหลักฐาน”