ประธานาธิบดีฝรั่งเศส นายเอมมานูเอล มาครง ประกาศผ่านโทรทัศน์ว่าจะต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์ ปิดโรงเรียนและธุรกิจต่างๆ ระยะเวลา 4 สัปดาห์
“เราจะควบคุมไม่อยู่ถ้าเราไม่ทำอะไรตอนนี้” นายมาครง กล่าว
นางมาครง บอกอีกว่า ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่ระบาดอยู่นี้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมมากและยังมีความเสี่ยงที่ผู้รับเชื้อจะเสียชีวิตมากขึ้นด้วย
ประธานาธิบดีฝรั่งเศสรายนี้ วิงวอนให้คนทั้งประเทศพยายามให้มากขึ้นในการช่วยกันลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระหว่างการล็อกดาวน์
ช่วงที่ผ่านมา ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (SARS-CoV-2) รายใหม่ในฝรั่งเศสเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 40,000 คนต่อวัน ซึ่งสูงกว่าช่วงเดือน ก.พ. ถึง 2 เท่า ส่วนผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในแผนกฉุกเฉิน ก็มีเกิน 5,000 คน สูงกว่าช่วงที่มีการล็อกดาวน์นาน 6 สัปดาห์เมื่อปีที่แล้วด้วยซ้ำ
ด้านกระทรวงการคลังฝรั่งเศสมองว่า การล็อกดาวน์ครั้งใหม่นี้จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจฝรั่งเศสฟื้นตัวจากปีที่แล้วช้าลง เพราะจะต้องปิดธุรกิจชั่วคราวอีก 150,000 ราย ที่จะสร้างความเสียหาย 11,000 ล้านยูโร (404,458 ล้านบาท) ต่อเดือน
การล็อกดาวน์ครั้งนี้ของฝรั่งเศสยังย้ำถึงความเสียหายที่เกิดจากการที่สหภาพยุโรปช้าต่อการฉีดวัคซีนให้ประชาชนในประเทศสมาชิก ซึ่งต่างจากสหราชอาณาจักรที่ออกจากสหภาพยุโรปเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 1 ม.ค. ที่ฉีดวัคซีนให้กับครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมด ซึ่งพบว่าอัตราการติดเชื้อลดลงอย่างรวดเร็ว และกำลังจะเปิดประเทศอีกครั้ง แต่ฝรั่งเศสที่อยู่ในสหภาพยุโรปยังต้องปิดประเทศต่อไป