ปูติน แก้ไขกฎหมาย เกณฑ์อดีตนักโทษเป็นทหาร ไปรบในยูเครน

วันที่ 5 พ.ย. บีบีซี รายงานว่า ประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ดำเนินการแก้ไขกฎหมายระดมพลทหารกองหนุน อนุญาตให้อดีตนักโทษคดีร้ายแรง เช่น ฆาตกรรมหรือยาเสพติด ที่เพิ่งพ้นโทษจากเรือนจำ ถูกเกณฑ์เป็นทหารเพื่อร่วมรบในยูเครน แต่ยังยกเว้นอดีตนักโทษในคดีอาชญากรรมทางเพศต่อเด็กและเยาวชน รวมถึงคดีการก่อการร้าย

ความเคลื่อนไหวมีขึ้นหลังประธานาธิบดีปูตินเปิดเผยว่า ทหารกองหนุนราว 49,000 นายจากทั้งหมด 300,000 นายถูกเรียกระดมพลเพื่อรับใช้ชาติตั้งแต่เดือนก.ย. ถูกส่งไปหน่วยรบที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ในยูเครนแล้ว และมีอาสาสมัครรับใช้ชาติอีกกว่า 50,000 นาย

สำหรับสถานการณ์สงคราม กองทัพยูเครนยังเป็นฝ่ายรุกคืบและยึดคืนพื้นที่จากกองทัพรัสเซีย มี รายงาน ว่า ทหารรัสเซียออกไปจากเมืองเคียร์ซอน ทางใต้ของยูเครน เมืองใหญ่แห่งแรกที่รัสเซียยึดครองได้และเป็น 1 ใน 4 แคว้นที่รัสเซียผนวกไป นับเป็นการล่าถอยครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่สงคราม ขณะที่นายปูตินสนับสนุนการอพยพพลเรือนออกจากพื้นที่สู้รบในเมืองดังกล่าว

ขณะเดียวกัน สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความคืบหน้าการเยือนประเทศจีนของนายโอลาฟ ชอลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี เพื่อหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แห่งจีน นับเป็นผู้นำคนแรกของกลุ่มจี 7 ที่เยือนจีนตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 เมื่อวันศุกร์ที่ 4 พ.ย. ว่า นายชอลซ์เรียกร้องให้นายสีใช้อิทธิพลของจีนกดดันให้รัสเซียยุติการทำสงครามในยูเครน

“ผมแจ้งประธานาธิบดีสี จิ้นผิงว่า นี่เป็นสิ่งสำคัญที่จีนจะต้องใช้อิทธิพลกดดันรัสเซีย รัสเซียจะต้องยุติการโจมตีที่เกิดความเสียหายต่อประชาชนและออกจากยูเครน” นายชอลซ์กล่าว

ขณะที่นายสีกล่าวว่า นานาประเทศควรร่วมกันคัดค้านการใช้อาวุธนิวเคลียร์ หรือการข่มขู่การใช้อาวุธนิวเคลียร์

“จะต้องไม่มีการใช้อาวุธนิวเคลียร์หรือการทำสงครามนิวเคลียร์ เพื่อให้เราสามารถป้องกันวิกฤตนิวเคลียร์ในยุโรปหรือเอเชียได้” นายสีกล่าว นับเป็นคำเตือนอย่างชัดเจนถึงนายปูติน ซึ่งเคยขู่ว่ารัสเซียพร้อมใช้อาวุธนิวเคลียร์หากจำเป็นเพื่อปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดน