ปิ๊งรักวันขอบคุณพระเจ้า – ซีเอ็นเอ็น รายงานเรื่องราวความรักเหมือนพรหมลิขิตของสาวอเมริกันและหนุ่มอังกฤษ ที่โคจรข้ามทวีปมาพบกันในวันขอบคุณพระเจ้า เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2540 ซึ่งน่าประทับใจว่าทุกวันนี้ทั้งสองยังครองรักกันอย่างชื่นมื่น
เหตุการณ์ ปิ๊งรักวันขอบคุณพระเจ้า เมื่อ 24 ปีก่อน ไดนา ออร์เนอร์ ชาวอเมริกัน อายุ 27 ปี เป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงวันขอบคุณพระเจ้าเป็นครั้งแรก ที่อพาร์ตเมนต์ขนาด 2 ห้องนอน หญิงสาวอาศัยอยู่กับเพื่อนร่วมห้องในย่านบรูกลิน นครนิวยอร์ก
วันดังกล่าว พี่สาวของออร์เนอร์เดินทางมาจากเมืองบอสตัน รัฐแมตซาชูเส็ตส์เพื่อฉลองวันสำคัญและออร์เนอร์ยังเชิญเพื่อนๆ ในนิวยอร์ก มาสนุกสนานกันและเพื่อคลายความเครียดที่แบกรับมาตลอดทั้งปีจากภาวะซึมเศร้าและความสัมพันธ์ย่ำแย่
ระหว่างที่กำลังง่วนอยู่กับการทำอาหาร เจ้าภาพไปเปิดประตูต้อนรับเพื่อนคนหนึ่งซึ่งพาคนที่เธอไม่เคยรู้จักมาด้วย
ออร์เนอร์กล่าวว่าไม่มีความสุข แต่ก็ให้เขาคนนั้นเข้ามา
ชายแปลกหน้า คือ ริชาร์ด สเตกกัลล์ วัย 25 ปี ชาวอังกฤษซึ่งบินมาเที่ยวนิวยอร์กเป็นครั้งแรกเพื่อมาหาเพื่อนรักที่มีพี่ชายอยู่ในนิวยอร์กและพี่ชายของเพื่อนคนนี้ได้รับเชิญมางานปาร์ตีวันขอบคุณพระเจ้า
สาเหตุที่พี่ชายของเพื่อนพาผู้มาร่วมงานที่ไม่ได้รับเชิญเพราะเช้าวันนั้น พวกเขานอนตื่นสาย เนื่องจากคืนก่อน ไปดื่มกันหนักมากไปหน่อย เช้าขึ้นมาก็หาอะไรรับประทานไม่ได้เนื่องจากเป็นวันหยุดราชการ ร้านอาหารปิด
แต่หนุ่มๆ ปิ๊งไอเดียว่ามีที่หนึ่งที่จะมีอาหารให้รับประทานอย่างแน่นอน คือ งานปาร์ตี้วันขอบคุณพระเจ้าที่ออร์เนอร์เป็นเจ้าภาพนั่นเอง
นาทีแรกที่ออร์เนอร์เห็นแขกไม่ได้รับเชิญ ฝ่ายสาวหงุดหงิด แต่ความรู้สึกนั้นหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นหน้าฝ่ายชายชัดๆ และคิดว่า “เขาหล่อมากๆ” ตรงสเป๊กสาวๆ เพราะทั้งสูงและผิวเข้ม
ส่วนหนุ่มอังกฤษรู้สึกประหม่าจึงไปหลบมุมอยู่เงียบๆ แต่สายตาแอบมองออร์เนอร์เดินไปเดินมารอบๆ ห้องพลางคิดว่า “ผมคิดว่าเธอสวย ผมมาจากลอนดอน เธอเป็นสาวนิวยอร์ก เข้มแข็ง เชื่อมั่นเต็มเปี่ยม เสียงดังและสนุกสนาน”
สานสัมพันธ์จากพายฟักทอง
ทั้ง 2 เริ่มสานสัมพันธ์กัน เมื่อเมนูของหวานเริ่มขึ้น ออร์เนอร์เป็นฝ่ายเข้าหาสเตกกัลล์ก่อนโดยขอให้เขาช่วยหั่นพายฟักทองและหยอดวิปครีม แม้หนุ่มอังกฤษไม่เคยทำมาก่อน แต่ตอบรับด้วยดี
จากนั้น หนุ่มสาวเริ่มพูดคุยกัน ออร์เนอร์เป็นนักอ่านนวนิยายตัวยงชวนคุยถึง “โอฟีเลีย” ตัวละครในเรื่อง “แฮมเล็ต” ของเชกสเปียร์ซึ่งสเตกกัลล์สานต่อทันทีว่าเขารู้จักเรื่องแฮมเล็ต
สองหนุ่มสาวคุยกันตลอดทั้งคืน จนถึงวันรุ่งขึ้นอีกทั้งวันและสานสายสัมพันธ์อย่างรวดเร็ว
เมื่อถึงวันที่สเตกกัลล์ต้องกลับลอนดอน ออร์เนอร์ไปส่งถึงสถานีรถไฟเพื่อบอกลาเขาและทันทีที่กลับถึงอพาร์ตเมนต์ ออร์เนอร์บอกกับพี่สาวว่า “ผู้ชายคนนั้นเป็นคนที่ฉันจะแต่งงานด้วย”
วันต่อมา ออร์เนอร์โทรศัพท์ทางไกลไปหาชายหนุ่มและพูดคุยกันเป็นประจำ รวมทั้ง ส่งจดหมายหากันเป็นครั้งคราว
จนกระทั่งกลางเดือน ธ.ค. สเตกกัลล์ถามสาวว่า “ทำไม่ไม่มาฉลองคริสต์มาสในลอนดอนล่ะ”
ออร์เนอร์คิดว่าวันขอบคุณพระเจ้าไม่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว จึงน่าจะใช้เวลาอยู่กับครอบครัวในช่วงคริสต์มาส แต่เมื่อคิดทบทวนและได้คำตอบว่าอยากทำตามหัวใจ จึงซื้อตั๋วเครื่องบินไปกรุงลอนดอนซึ่งเพื่อนๆ และครอบครัวต่างเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเธอ
กลับมาพบกันในวันคริสต์มาส
ออร์เนอร์บินมาถึงกรุงลอนดอนในวันคริสต์มาสพอดี สเตกกัลล์ไปรับที่สนามบินพร้อมกับช่อดอกไม้ซึ่งเขาทำงานขายดอกไม้และต้นคริสมาสต์ที่ตลาดดอกไม้
วันต่อมาเป็นวัน บ็อกซิ่งเดย์ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ สเตกกัลล์และออร์เนอร์ไปบ้านพ่อแม่ของฝ่ายชาย
พ่อ แม่ ลุง ป้าและพี่สาวของสเตกกัลล์ต้อนรับออร์เนอร์ด้วยความอบอุ่นและเป็นกันเอง ท่ามกลางความดีใจที่เห็นลูกชายพบคนที่ใช่เสียที
หลังจากนั้น 1 วัน หนุ่มอังกฤษสร้างความประหลาดใจด้วยการซื้อตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวเกาะมายอร์ก้าในสเปนพร้อมกับก๊วนเพื่อนของสเตกกัลล์เพื่อฉลองวันสิ้นปี
ช่วงเทศกาลปีใหม่ผ่านไปและออร์เนอร์กลับสหรัฐฯ แล้ว แต่กลับมากรุงลอนดอนอีกครั้งเพราะแฟนหนุ่มซื้อตั๋วเครื่องบินให้กลับมาฉลองวันวาเลนไทน์ที่สุดแสนโรแมนติกด้วยกัน
ย้ายไปนิวยอร์ก
ฤดูใบไม้ผลิปี 2541 สเตกกัลล์เลิกทำงานในตลาดดอกไม้และเดินทางไปนิวยอร์กย้ายเข้าไปอยู่ในอพาร์ตเมนต์ของสาวชาวอเมริกันเพื่อใช้เวลาอยู่ด้วยกัน 3 เดือนในช่วงฤดูร้อน
ความรักก่อตัวขึ้นเร็วมากและถึงเวลาที่คิดเรื่องแต่งงาน
ทั้งคู่ยังไม่อยากแต่งงานกัน เว้นแต่สเตกกัลล์ย้ายมาอยู่ในสหรัฐ
ชายหนุ่มหางานทำและลงเอยด้วยการทำงานที่องค์การสหประชาชาติในนิวยอร์ก
แผนสำคัญวันสิ้นปี
วันสุดท้ายของปี 2542 ขณะที่ทั้งคู่และเพื่อนๆ กำลังนับถอยหลังขึ้นปีใหม่ สเตกกัลล์ดูประหม่าและอารมณ์ไม่ค่อยดี
ความประหม่าของสเตกกัลล์ยิ่งเห็นได้ชัด เมื่อเพื่อนๆ ให้หนุ่มอังกฤษเปิดขวดแชมเปญ แต่เขามือสั่นมากและยื่นให้คนอื่นเปิดขวดแทน
เมื่อนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนตรง สเตกกัลล์ขอคนรักแต่งงาน
หลังจากนั้น ทั้ง 2 คนลั่นระฆังวิวาห์ในเดือน เม.ย. ปี 2544 ในนิวยอร์ก ครอบครัวและเพื่อนๆ ชาวอังกฤษมาร่วมแสดงความยินดีที่แมนฮัตตัน เพนต์เฮาส์ซึ่งมองเห็นตึกเอ็มไพร์สเตทเป็นฉากหลัง
เริ่มต้นบทใหม่ในยุโรป
หลังจากฮันนีมูนในออสเตรเลีย ทั้ง 2 คนยังใช้ชีวิตในนิวยอร์ก จนกระทั่งปี 2551 จึงย้ายไปอยู่ในกรุงนิโคเซีย ประเทศไซปรัสเพราะสเตกกัลล์ต้องไปทำงานให้ยูเอ็น ขณะที่ลูกชายคนเล็กมีอายุเพียง 6 เดือนเท่านั้น
หลังจากนั้น ครอบครัวย้ายไปทั่วยุโรป
ปัจจุบัน สเตกกัลล์และออร์เนอร์อาศัยในเดนมาร์ก ลูกคนโตอายุ 17 ปี และคนเล็กอายุ 13 ปี
ธรรมเนียมวันขอบคุณพระเจ้า
วันขอบคุณพระเจ้ามีความสำคัญต่อออร์เนอร์และสเตกกัลล์ซึ่งลูกๆ ทราบเรื่องราวดี
ปีแรกในไซปรัส ครอบครัวพยายามรักษาธรรมเนียมปฏิบัติวันขอบคุณพระเจ้าแบบชาวอเมริกัน แต่หลังจากลงหลักปักฐานในยุโรป ก็เริ่มปรับเปลี่ยนวิธีการฉลองในแบบต่างๆ
วันขอบคุณพระเจ้าในกรุงโคเปนเฮเกนปีนี้ พ่อแม่ลูกไปรับประทานอาหารค่ำกัน
จากนั้น ออร์เนอร์และสเตกกัลล์ยังคงคุยกันหลายชั่วโมงตลอดทั้งคืนเหมือนเช่นคืนแรกที่พบกันเมื่อ 24 ปีก่อน
……..
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ชาวเน็ตอิจฉาสุดๆ หนุ่มจีนจูงมือวิวาห์เจ้าสาวยูเครน สวยน่ารัก-ไม่คิดค่าสินสอด