ปานปรีย์ ชี้บทบาทไทยในเวทีโลก ยังไปได้ดีกว่านี้ ต้องพัฒนา 3 ด้านหลัก ต่างประเทศ-เศรษฐกิจ-ดิจิทัล ลั่นหากเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ทำเศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างน้อย 5%
วันที่ 4 เม.ย.2566 นายปานปรีย์ พหิทธานุกร ที่ปรึกษาคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงบทบาทไทยในเวทีโลกว่า ต้องเข้าใจว่ามุมเศรษฐกิจเปลี่ยนไปเยอะ ซี่งไม่ใช่เฉพาะมุมเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่มุมต่างประเทศและมุมภูมิรัฐศาสตร์ ที่มีความเปลี่ยนไปในทุกด้านทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ซึ่งกระทบกันเป็นลูกชิ่งเหมือนโลกาภิวัฒน์ ที่มีปัญหาคือเมื่อเกิดขึ้นในประเทศใดประเทศหนึ่ง ก็กระทบมายังประเทศไทยด้วย
หากเราจะทำนโยบายเรื่องเศรษฐกิจ ก็ต้องเข้าใจให้ครบ ทั้งด้านการต่างประเทศ ที่ไม่ได้หมายความถึงการทูตความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างเดียว แต่รวมถึงการค้าระหว่างประเทศและเรื่องดิจิทัลเทคโนโลยีด้วย หากเราตามตรงนี้ไม่ทัน ก็จะตกขบวนรอบ 2
เวลานี้เรื่องการต่างประเทศถือว่าเรายังไปได้ แต่คาดหวังว่าเราจะไปได้ดีกว่านี้ หากเราอยากเป็นที่รู้จักของต่างประเทศ อยากให้คนมาลงทุนในประเทศเยอะๆ อยากให้เขามองประเทศเราไปในมุมมองที่ดีขึ้นว่าเราเป็นประชาธิปไตย มีกระบวนการยุติธรรมที่คุ้มครองคนมาลงทุนในประเทศได้
นอกจากนั้นเราต้องชี้ให้เห็นว่าในอนาคต ประเทศไทยจะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปในทิศทางไหน ฉะนั้น เรื่องการต่างประเทศ เศรษฐกิจและดิจิทัล จะเป็น 3 เรื่องที่เข้ามาพัวพันกัน หากไม่พัฒนาทั้ง 3 ส่วนนี้ จะทำให้เราเดินช้า แต่เราอยากจะเดินเร็ว เพราะทรัพยากรมีจำกัด การแข่งขันสูง สถานการณ์โลกก็ไม่ค่อยราบรื่น กฎระเบียบต่างๆ ที่เคยใช้ในช่วงก่อนโควิด-19 เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เช่น สหรัฐฯ ที่แข่งขันกับจีน แต่ก่อนเคยเป็นการค้าแบบเสรี ตอนนี้เสรีบ้างไม่เสรีบ้าง อาจจะเริ่มใช้การป้องกันสินค้านำเข้า การตั้งกำแพงภาษี ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราต้องวางแนวทางให้ชัดเจนว่าเราจะไปอย่างไร
ทั้งสหรัฐฯ กับจีน เป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับเรา เรามีความสัมพันธ์กับทั้งสองประเทศมายาวนาน ฉะนั้น เราต้องรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ให้แข็งแรงเหมือนเดิม เราต้องเข้าใจว่าปัญหาของสหรัฐฯ กับจีนคืออะไร และเราอยู่ตรงไหน เราไม่ควรเข้าไปยุ่งกับปัญหาของเขา วันนี้เราต้องการทำให้เศรษฐกิจเติบโต ทำให้คนไทยมีงานทำมากขึ้น ให้คนมีหนี้ลดน้อยลง ให้มีการลงทุนในประเทศมากขึ้น เพื่อจะได้เก็บภาษีมาพัฒนาประเทศ เป้าหมายของเราคือทำเศรษฐกิจให้โต และลดภาระหนี้สินของภาคครัวเรือน ลดภาระหนี้สินของประเทศลงให้ได้ หากเราไม่สนใจเรื่องการต่างประเทศเลย เม็ดเงินจากข้างนอกก็จะไม่เข้ามาซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
เมื่อถามว่ามีมุมมองอย่างไรที่หลายฝ่ายบอกว่าไทยต้องให้ความสำคัญกับจีโอโพลิติกส์หรือภูมิรัฐศาสตร์ นายปานปรีย์ กล่าวว่า เราต้องเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นในโลก เราต้องติดตามข่าวทุกวัน หากเป็นไปได้ 24 ชั่วโมงเลย รัฐบาลควรมีทีมที่คอยติดตาม ดูแลความเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงของโลกอยู่ตลอดเวลา และมาปรับตัวเราเองให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ได้ตลอดเวลา เราจะมานิ่งเฉยไม่ได้ ยกตัวอย่างวันนี้เราวางยุทธศาสตร์ 20 ปีเป็นอะไรที่แข็งตัวมาก เราต้องพร้อมปรับตัว เป็นเรื่องที่เราต้องยึดหยุ่นตลอดเวลา และพร้อมปรับให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ตลอดเวลา หากเรายังไม่ปรับตัวก็อาจจะทำให้เราต้องเสียโอกาส
ต่อข้อถามว่า หากพรรคเพื่อไทยได้เข้ามาทำหน้าที่รัฐบาล วางลำดับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจไว้อย่างไร นายปานปรีย์ กล่าวว่า เวลานี้เราเป็น 1 ใน 10 ของอาเซียน เราต้องให้ความสำคัญกับอาเซียน รวมถึงให้ความสำคัญกับประเทศมหาอำนาจ ว่าเขามีความสัมพันธ์กับเราในระดับไหน อย่างไร หากตรงไหนที่ยังไม่ดีพอ ก็กระชับความสัมพันธ์ให้แข็งแรงขึ้น เช่น ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง คือกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ Gulf Cooperation Council หรือกลุ่มประเทศ GCC ซึ่งเป็นประเทศที่ร่ำรวยมาก มีวงเงินลงทุนที่สูง แต่ที่ผ่านมาเขาไปลงทุนในกลุ่มประเทศตะวันตกมากกว่า เนื่องจากเขามั่นใจว่าหากเขาลงทุนแล้วเงินเขาไม่หาย
เวลานี้โลกเปลี่ยนมามุ่งทางเอเซียมากขึ้น ฉะนั้นประเทศฝั่งตะวันออกกลางก็มองว่าภูมิภาคของเรามีความสำคัญ ดังนั้น เขาจะเริ่มมาเซอร์เวย์ดูแล้วว่าหากเขาจะย้ายมาลงทุนในภูมิภาคนี้ หรือในประเทศไทย มีความปลอดภัยแค่ไหน หากปลอดภัยและให้ความมั่นใจกับเขาได้ว่าเงินของเขาจะได้รับการคุ้มครอง การลงทุนของเขาจะได้รับการคุ้มครองอย่างเป็นธรรม ไม่ได้ถูกใครกลั่นแกล้ง ตนเชื่อว่าใครๆ ก็อยากมาอยู่เมืองไทยกันหมด
เมื่อถามว่าในฐานะอดีตผู้แทนการค้า มองการดำเนินการด้านเศรษฐกิจและการต่างประเทศของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เป็นอย่างไร นายปานปรีย์ กล่าวว่า เราต้องดูผลงานเป็นหลัก ซึ่งการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจเราต่ำมาก แม้เศรษฐกิจของประเทศอื่นเขาก็ต่ำ แต่ของเราก็ไม่ควรต่ำสุด อย่างน้อยในกลุ่มอาเซียนเราควรมีการเจริญเติบโตที่ดีกว่านี้ แต่ที่ผ่านมามันไม่เป็นเช่นนั้น
ส่วนเรื่องการต่างประเทศ ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลว่าจะมุ่งให้ความสำคัญกับการต่างประเทศขนาดไหน ซึ่งพรรคเพื่อไทย เล็งเห็นความสำคัญเรื่องนี้มาตลอดตั้งแต่สมัยไทยรักไทย เวลานี้เรามุ่งทำให้คนในประเทศมีรายได้ดีขึ้น ทำให้คนมีโอกาสมีงานทำมากขึ้น นำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งการต่างประเทศจะเป็นตัวคู่ขนาน หากเราละเลยเรื่องนี้การเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจก็จะหายไป
ผู้สื่อข่าวถามว่าคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจที่ตั้งขึ้นมา มีการขับเคลื่อนหรือดำเนินการอย่างไรบ้าง นายปานปรีย์ กล่าวว่า แม้จะไม่ได้แถลงข่าว แต่เขาทำไปเยอะ ซึ่งการประชุมหรือหารือกันในเรื่องนโยบายเราทำเป็นประจำ บางครั้งไม่ต้องเข้าพรรค แต่เราประชุมผ่านระบบซูม และเศรษฐกิจในสมัยก่อนกับสมัยปัจจุบันก็ต่างกัน ขณะนี้เทคโนโลยีเข้ามาแล้ว สามารถประชุมออนไลน์ได้จะไปมุมไหนของโลก การจะทำข้อตกลงอะไรกันก็ไม่ควรใช้เวลานานแล้ว
สมัยพรรคไทยรักไทยเราทำ FTA สำเร็จไปหลายประเทศแล้ว แต่เวลานี้ที่อยากเปิดแต่ยังไม่ได้เปิดคือ EU ซึ่งตั้งท่าจะเปิดมานานแล้วแต่ยังไม่เห็นความคืบหน้าไปไหน แต่เชื่อว่าหากพรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นรัฐบาลจะต้องเร่งผลักดันเรื่องนี้อย่างน้อย 1 ปีก็ควรจะเสร็จแล้ว
ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมการเศรษฐกิจพรรค มีข้อเสนอแนะนำไปสู่การจัดทำนโยบายอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ นายปานปรีย์ กล่าวว่า ทางพรรคเห็นว่าตนมีความรู้เรื่องการค้าระหว่างประเทศดี อยากให้เข้ามาดูเรื่อง FTA ซึ่งมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ หลายประเทศที่เจริญแล้ว เช่น เวียดนาม สหรัฐ อียู ญี่ปุ่น เป็นต้น ทำกันหลาย FTA แล้วเราจะก้าวไปสู่ข้อตกลงสมัยใหม่ได้อย่างไร ซึ่งมีเรื่องของ Digital Economy Partnership Agreement (DEPA) ซึ่งน่าสนใจมาก เป็นข้อตกลงที่เริ่มจากสิงคโปร์ ชิลีและนิวซีแลนด์ ซึ่งจีน แคนาดาและเกาหลีใต้กำลังจะขอเข้าร่วม
ข้อตกลงนี้จะเป็นข้อตกลงที่ก้าวหน้าและทันสมัยขึ้น แต่มันอาจจะมีปัญหาในเชิงว่ามีคนไม่เห็นด้วยในบางเรื่อง เช่น Competition Policy การป้องกันการผูกขาด เรามีกฎหมายเรื่องการแข่งขันแต่เราไม่มีโนยบาย ดังนั้นเรื่องการค้าระหว่างประเทศ หากเรามีโนยบายนี้ก็จะช่วยให้เอสเอ็มอีมีโอกาสเกิดได้ มีความเท่าเทียมในการแข่งขันกับบริษัทใหญ่ในการเข้าสู่ตลาดโลกผมคิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจ
วันนี้เราต้องตั้งคำถามว่าทำไมเวียดนามถึงทำข้อตกลงกับหลายๆ ประเทศ ทั้งที่เขาก็เป็นประเทศเกษตรกรรมเหมือนกัน ที่เราพูดกันว่าเวียดนามไปเร็วกว่าเรา ก็ผู้บริหารไม่ทำเรื่องพวกนี้ แล้วจะมานั่งบ่นกันทำไม คุณก็รู้อยู่แล้วว่าคุณต้องทำอะไร แต่คุณก็ไม่ทำ
นอกจากนี้มีเรื่องเกี่ยวกับไซเบอร์ ซึ่งเรากังวลว่าใครจะมาล้วงตับ ล้วงบัญชีเรา ประเทศพวกนี้ก้าวหน้ากว่าเราเยอะมาก เขามีระบบป้องกัน ฉะนั้น จะมีระบบประสานงานกันในเชิงข้อมูล แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ทำให้เราสามารถขยับเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลได้ดีขึ้น มีส่วนดึงคนเข้ามาลงมาลงทุนในประเทศด้วย ว่ามาตรฐานดิจิทัลของเราระดับโลกแล้ว อย่างน้อยต้องเทียบเท่ากับสิงค์โปร์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับของทั่วโลกว่ามีความทันสมัย ก้าวหน้า ดังนั้น หากไทยอยากก้าวออกจากอนาล็อก ผมก็จะแนะนำว่าควรเข้าร่วมข้อตกลงดังกล่าว นี่คือเรื่องที่ผมพูดกับคณะกรรมการฯ
ส่วนการตั้งเป้าหมายแลนด์สไลด์ 310 เสียง มองว่ามีความเป็นไปได้แค่ไหน นายปานปรีย์ กล่าวว่า การตั้งเป้าหมายเป็นความปรารถนาของทุกพรรคที่อยากชนะการเลือกตั้ง ซึ่งอย่างน้อยทุกพรรคต้องประเมินว่าคะแนนเสียงเกินครึ่งหนึ่งหรือได้คะแนนเสียงเป็นส่วนใหญ่จากคะแนนทั้งหมด คำว่าแลนด์สไลด์นั้น เข้าใจว่ากติกาที่เป็นอยู่ มันทำให้พรรคการเมืองที่แม้ได้คะแนนเสียงเกินครึ่ง ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะตั้งรัฐบาลได้หรือเปล่า ซึ่งในอดีตถ้าเป็นพรรคที่มีเสียงส่วนใหญ่แม้ไม่เกินครึ่ง แต่เมื่อไปรวมกับพรรคอื่นแล้วเกินครึ่งก็จัดตั้งรัฐบาลได้
แต่ครั้งนี้จะแตกต่างจากที่ผ่านมา เพราะเราต้องอาศัยเสียงของ 250 ส.ว.ซึ่งเราก็ยังอ่านใจ ส.ว.ไม่ออก เพราะส.ว.ก็ได้รับการแต่งตั้งจาก 3 ป. ฉะนั้นเราจำเป็นต้องได้แลนด์สไลด์เพื่อให้มั่นใจว่าเราสามารถเข้ามาเป็นรัฐบาล แก้ปัญหาของประเทศที่มันมีอยู่เยอะแยะไปหมดในเวลานี้
เมื่อถามถึงคะแนนความนิยมจากทุกโพลของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย มีโอกาสสร้างปรากฏการณ์เหมือนพรรคไทยรักไทยสมัยนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ได้ 377 เสียงหรือไม่ นายปานปรีย์ กล่าวว่า “ผมเชื่อว่าน่าจะเป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับประชาชน ว่าเขายังมีความมั่นใจต่อพรรคมากน้อยขนาดไหน เขายังมีความเชื่อว่าเมื่อเราเข้ามาแล้ว จะช่วยทำให้สิ่งที่เขาเป็นกังวล เป็นทุกข์อยู่นั้นเบาลงหรือหายไปได้หรือไม่ โดยเฉพาะในเรื่องหนี้สินซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ ขณะนี้หนี้ครัวเรือนสูงถึงกว่า 90% แล้วซึ่งถือว่าสูงมาก ส่งผลให้เกิดความเครียด ตามมาด้วยเรื่องของการทวงหนี้ มีการทุบตีทำร้าย กลายเป็นปัญหาสังคมขนาดใหญ่ที่ต้องแก้อีก”
ต่อข้อถามว่ามองทางออกอย่างไรหากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งแล้วไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ นายปานปรีย์ กล่าวว่า เมื่อตั้งไม่ได้ก็คือตั้งไม่ได้ คงไม่มีทางออกอื่น เพียงแต่วันนี้เราอยากให้บ้านเมืองสงบ ไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งเพิ่มขึ้น ฉะนั้น หากทุกคนเล่นตามกติกา ไม่ออกนอกลู่นอกทาง ผมเชื่อว่าไม่มีปัญหา แต่เมื่อไม่เล่นตามกติก็จะนำมาสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นอีก บ้านเมืองไม่สงบ เศรษฐกิจเราก็จะตกต่ำแล้วดาวน์ลงไปเรื่อยๆ
ส่วนที่ น.ส.แพทองธาร ปราศรัยว่าปีหน้าค่าแรงขั้นต่ำอาจปรับขึ้นได้ทันที มองว่าเป็นไปได้หรือไม่เพราะหนี้ประเทศยังสูงอยู่ นายปานปรีย์ กล่าวว่า ถ้าเรามีความเชื่อว่าจะทำให้เศรษฐกิจโตได้อย่างน้อย 5% เรื่องค่าแรงขั้นต่ำถือเป็นเรื่องเล็กแล้ว วันนี้เมื่อไปดูตัวเลขประกันสังคม คนที่ได้อัตราค่าแรงขั้นต่ำมีอยู่ไม่ถึง 4 ล้านคน คนพวกนี้เราจะต้องเพิ่มเงินให้เขาไปถึง 600 บาท
ดังนั้น หากเราทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างน้อย 5% พรรคเชื่อว่าเราสามารถทำได้อย่างที่เราประกาศไว้ หากเราอยากทำให้เศรษฐกิจโต 5% เราต้องทำให้เซกเตอร์ไหนโตบ้าง แล้วแต่ละเซกเตอร์ต้องโตกี่เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้เศรษฐกิจโตถึง 5% ในภาพรวม ซึ่งตรงนี้เรามีตัวเลขหมดแล้ว ไม่ใช่การนั่งเทียน มีการคำนวณและศึกษาไว้หมดแล้วเช่น การลงทุนของภาครัฐต้องกี่เปอร์เซ็นต์ การบริโภคกี่เปอร์เซ็นต์ ในแต่ละส่วนจะต้องทำให้จีดีพีโตกี่เปอร์เซ็นต์
“ผมอาสาเข้ามาช่วยงานพรรค ผมอยู่ตรงนี้มานาน อยากเห็นพรรคเพื่อไทยเข้ามาแก้ไขปัญหาให้บ้านเมือง ผมไม่ติดใจเรื่องตำแหน่ง แล้วแต่พรรคจะพิจารณาว่าเราเหมาะสมตรงไหน หากเห็นว่าไม่เหมาะสม เราก็ช่วยงานเขาอยู่ดีตอนนี้เรื่องเศรษฐกิจ การต่างประเทศและดิจิทัลถือเป็นเรื่องสำคัญ หลายคนอาจมองว่าเรื่องเศรษฐกิจภายในเป็นรื่องต้องทำก่อน แต่สำหรับผมไม่ใช่ ผมมองว่าการต่างประเทศและเศรษฐกิจต้องไปคู่กัน แล้วเสริมด้วยดิจิทัล ถ้าเราไม่เสริมตรงนี้ เรายังคงต้องอยู่ในโหมดอนาล็อก”