ปันปัน สุทัตตา เล่าที่มา ฉายา เด็กเปรต! วีรกรรมแสบซน เบญจเพศมาแรงมากป่วยใบหน้าขยับไม่ได้ครึ่งซีก สถานะหัวใจกับแฟนหนุ่ม ยังโอเคไปได้ฉลุย
นักแสดงตัวตึงซีรีส์วัยรุ่นอย่าง ปันปัน สุทัตตา เผยอายุ 25 ปีแล้ว และเบญจเพศของเธอแรงมาก ป่วยปลายประสาทอักแสบ หน้าขยับไม่ได้ครึ่งซีก
“ประมาณสัก 4 เดือนที่แล้ว อยู่ดีๆ ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เหมือนปันกลับมาจากอเมริกา พอกลับมาถึงรู้สึกว่าพูดไม่ค่อยชัด รู้สึกว่าปากมันขยับไม่ได้ มองกระจกแล้วทำไมหน้าตาเราแปลกๆ หน้าตาเราเปลี่ยนไป แล้ววันต่อไปดูกระจกแล้วเหมือนปากมันเบี้ยวไปครึ่งซีกล่าง เหมือนร่างกายเราสั่งมันขยับไม่ได้ ก็เลยไปหาหมอ”
โรคนี้เขาเรียกโรคปลายประสาทอักเสบ ถูกต้องไหม? “ใช่ มันเป็นโรคที่เหมือนไวรัสตัวหนึ่งที่ทุกคนมีอยู่แล้ว แล้วมันขึ้นมา เราอาจจะนอนน้อย เครียดหรืออะไรแบบนี้แล้วมันขึ้นมาเอง ทุกคนมีสิทธิ์เป็นหมด วันไหนที่เราภูมิตก แล้วมันก็ขึ้นมา”
จุดไหนที่รู้สึกว่าไม่ได้แล้ว ต้องไปหาแพทย์? “วันรุ่งขึ้นไปเลย แล้วคำแรกที่หมอถามคือ ฉีดโบท็อกซ์มาเหรอ มันเป็นเหมือนหน้าเบี้ยวฉีดโบท็อกซ์ หนูบอกว่าไม่ได้ฉีดมานานมากแล้ว เขาเลยโอเค เข้ามาดูนู้น ดูนี่ ขยับไปน่าจะเป็นโรคนี้”
วันนั้นเคาะแล้วว่าเป็นโรคนี้แน่นอน? “ใช่ค่ะ ถ้าเกิดว่าโรคนี้เป็นแบบฟูสตรีม มันจะเป็นแบบครึ่งหน้า มันจะขยับไม่ได้ มันจะตกลง”
ปันปันอายุน้อยมากเลยนะ อะไรเป็นสาเหตุให้เป็นโรคนี้? “หนูว่ามันเป็นgenetic เพราะว่าล่าสุดพี่ชายเป็นเมื่อเดือนกว่าๆ ที่แล้ว กลับมาจากเมืองนอกเหมือนกัน อยู่ๆ เป็น แต่เขาเป็นครึ่งหน้าเลย ขยับไม่ได้ทั้งซีกเลย แต่หนูเป็นแค่ครึ่งล่าง”
จริงๆ ไปเมืองนอกหรือเปล่าถึงเป็น? “มันเป็นไวรัสที่อยู่ที่เมืองนอกหรือเปล่า ตอนแรกหนูก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ว่าสุดท้ายปันใช้เวลารักษานานเหมือนกันนะ ตอนนี้ก็ยังไม่เต็ม 100 นะ กว่าจะกลับมาพูดปกติ 3 เดือน”
ใน 3 เดือนคุณหมอบอกว่ายังไงบ้าง? “ตอนแรกที่ไป บอกว่า 2 อาทิตย์หายไหม เขาบอกว่าน้องเตรียมใจไว้ 6 เดือนแล้วกันนะ ตอนแรกค่อนข้างช็อก เลยรีบโทรบอกผู้จัดการว่าหนูเกิดโรคนี้ขึ้น หนูขยับหน้าไม่ได้ หนูก็วีดิโอคอลไปให้ดูสุดท้ายก็คิดว่าต้องยกทุกอย่างหมดเลย ยกอะไรที่เหมือนกับต้องพูด งานที่ทำได้คือถ่ายรูปภาพนิ่ง อะไรที่ไม่ต้องยิ้มไม่ต้องพูดเยอะ”
เรายิ้มไม่ได้เลยเหรอ? “ยิ้มได้ แต่หน้ามันเบี้ยว เหมือนครึ่งหน้าล่างมันไม่ขยับ”
ถ้าจำไม่ผิดโรคนี้รักษาด้วยการเอาไฟฟ้าช็อต แล้วเราทำไหม? “ช็อตทุกวัน ไปโรงพยาบาลแล้วเอาเครื่องช็อตที่หน้า เหมือนช็อตให้ปลายประสาทที่มันมาจากหูสั่นให้มันตื่นแล้วก็ฝั่งเข็ม ทำได้แค่นี้ แล้วก็กินยาบำรุงนิดหน่อย ช่วงเดือนแรกแทบจะไปโรงพยาบาลเกือบทุกวันเลย วันเว้นวันอย่างนี้ พอเดือนสองก็ค่อยๆ ลดลง เพราะว่าช็อตหน้าเยอะๆ ตากระตุก เพราะเครื่องมันใหญ่ วางปุ๊บมันครึ่งหน้าเลยกลายเป็นมันช็อตลูกกระตาเราด้วย กลับบ้านไปก็ตากระตุก หน้ากระตุกไปด้วย”
ตอนนั้นกลัวไหม? “ไม่ได้กลัว เพราะรู้สึกเดี๋ยวมันก็หาย เพราะเราเห็นตัวเอง ทุกอาทิตย์มันค่อยๆ ดีขึ้นนิดนึง”
มันมีโอกาสจะเป็นอัมพฤกษ์ได้ไหม? “ไม่ถึงขั้นนั้น เขาบอกเลยว่าเดี๋ยวมันก็หายเอง มันไม่ได้หนักขนาดนั้น ส่วนอื่นคือขยับได้หมด ปกติหมดเลยค่ะ ปันเป็นแค่เส้นเดียวตรงนี้เลย”
เขาไป MRI ดูไหมว่าเส้นประสาทเส้นไหนของเราไม่ทำงาน? “ไม่ขนาดนั้น คือคนที่เป็นครึ่งหน้าเขาจะนอนไม่ได้ เพราะตามันกระพริบไม่ได้ สมมติคนที่เป็นเต็มๆ คือกินข้าวไม่ได้ ดูดน้ำไม่ได้ เพราะปากมันไม่ติดกัน แต่หนูเป็นแค่นิดเดียว หนูอยู่ได้เกือบปกติเลย”
มันไม่มีอะไรบอกเราก่อนเลยเหรอ? “ไม่มีเลยค่ะ หนูอาจจะภูมิตก และเป็น genetic ด้วย ซึ่งพอพี่ชายเป็นชัดเลย”
เรื่องละคร เราต้องยุบกองถ่ายนานเท่าไหร่? “พอเป็นปุ๊บ จริงๆ เดือนหน้าต้องถ่ายซีรีส์ หนูยกไปเลยหนึ่งเดือน ตอนแรกบอก 2 อาทิตย์ แล้วพออีกอาทิตย์ดูอาการหนูว่าไม่น่ารอด ก็เลยเลื่อนไปหนึ่งเดือน แต่มันโชคดีที่ซีรีส์เป็นตอนๆ เขาก็ถ่ายของคนอื่นก่อน แล้วตอนถ่ายทีเซอร์ของหนูไปคือเน้นครึ่งหน้าอีกฝั่ง”
แล้วตอนนี้อาการเป็นไง? “ตอนนี้ปกติ 99.9”
คุณหมอบอกไหมว่าหลังจากที่เราหายปกติแล้ว หลังจากนี้เราต้องระวังอะไร เพื่อไม่ให้มันกลับมาอีก? “หมอพูดเหมือนโรคทุกๆ คนที่เป็น ดูแลตัวเอง นอนหลับให้เพียงพอ อย่าเครียด กินอาหารให้ดี เราไม่รู้เลยว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่เหมือนกับโรคทุกโรค เราก็แค่ดูแลสุขภาพให้ดี
มันกลับมาได้? “กลับมาได้ ตอนที่เป็นนะ เป็นโรคที่ไม่ควรเป็นเลย ยิ้มก็ไม่ได้ ไปไหนเวลาหนูหัวเราะนะ เจอเพื่อนปุ๊บหนูเอามือปิดปาก คือมันเป็นความเคยชินไปแล้ว คือพอหัวเราะปุ๊บ ปากมันจะตลกไง ช่วงนั้นแทบไม่ออกไปไหนเลย”
ป่วยแบบนี้เขาดูแลเราเป็นพิเศษยังไงบ้าง? “จริงๆ มันไม่ได้เป็นโรคที่กินไม่ได้ นอนไม่ได้อะไรขนาดนั้น ใช้ชีวิตได้ปกติเลย แทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่กันเอง อยู่ปกติเหมือนเดิมเลย ทำให้ตัวเองรู้สึกปกติที่สุด”
ความรักคบมา 5 ปีแล้ว เจอกันได้ยังไง? “ไปต่างจังหวัดเที่ยวกับเพื่อนหลายๆ คน แล้วบังเอิญไปเจอกัน วันแรกที่เขาอยู่ไม่ได้คุยด้วย ไม่ได้สนใจอะไร ไม่ได้สนใจ ไม่ได้มองเลยไปเที่ยวกับเพื่อน พอวันต่อไปเพื่อนเริ่มกลับ แล้วเราอยู่ต่อแล้วบังเอิญนั่งกินข้าวติดกัน แล้วเหมือนเพื่อนเริ่มเห็นว่าเอาล่ะ ผู้ชายเริ่ม”
แล้วใครจีบก่อน? “พอเห็นเพื่อนสนิทเขาอยู่ เริ่มคุย เริ่มอะไร ก็เริ่มเข้าห้องไปทีละคน สุดท้ายเหลือประมาณ 3 คน อีกคนหนึ่งนั่งเล่นอยู่ด้วย สักพักค่อยๆ หายไป พอเหลือ 2 คน ก็นั่งคุยกันสักพัก พอทุกคนไปหมดก็แยกย้ายไปนอน มันดึก”
แล้วมันสานต่อยังไง? “วันต่อไปก็เจอ ทุกคนก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาไปหัวหินกัน ทุกคนเหมือนรู้ ตอนหลังเขาพยายามนัดกินข้าวเป็นกลุ่มแต่สุดท้ายมันก็ล่มอยู่ดี ต้องไปกันเอง”
สองคนดูเหมือนทุกอย่างจะโอเค แต่กว่าจะ 5 ปีผ่านเวลาการปรับตัวมาเยอะมาก? “เยอะๆ จริงๆ เหมือนทุกคู่แหละ คุยกันแรกๆ มันต้องปรับกันอยู่แล้ว เหมือนมันมีความต่างมาก เช่น ถ้านังย้อนไป 5 ปีตอนนั้นอยู่มหาลัย ปี 3 เป็นเด็กอายุ 20 ที่เด็กมาก คือเรามองย้อนกลับไปเราเด็กมากเลย แล้วตอนนั้นเหมือนพี่เขาโตแล้ว”
อายุห่างเท่าไหร่? “14 ปี”
ตอนที่เริ่มจีบเขาทำยังไง? “สมมติหนูไปเรียนหนังสือในห้องเรียนใช่ไหม เขาจะพิมพ์ไลน์มาว่าตั้งใจเรียนนะ แล้วหายไปทั้งวัน เหมือนเขาคิดว่าเราไปนั่งเรียนหนังสือจริงๆ แล้วเหมือนกับอายุเยอะมั้งเลยไม่ชอบแชท เน้นโทรศัพท์ แล้วบอกพี่ไปทำงานแล้วนะแล้วหายไปทั้งวัน หนูไปพูดกับเพื่อนว่าเขาไม่อยากคุยกับเราป้ะ หรือว่ามันมีอะไรผิดหรือเปล่า เพราะว่าในวัยเราจะชอบแชท หนูก็ถามเขาว่าไม่อยากคุยกับหนูเหรอ มันมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า เขาบอกว่าคิดว่าไปเรียนหนังสือไม่อยากกวน แก่มาก มันก็คือเจเรชั่นแก๊ป ที่หนูยกตัวอย่างให้ฟัง ว่าต้องปรับตัวยังไง แต่มันไม่ใช่ปัญหาเลย ตอนหลังเขาเริ่มคุยเยอะ พิมพ์มาทั้งวัน”
ชอบอะไรในตัวไบรท์? “ด้วยความที่อยู่มานานแล้ว เขาอยู่ในช่วงที่เราโตมา 20-25 หนูรู้สึกว่าหนูเปลี่ยนไปเยอะมาก จากที่ 20 หนูเด็ก วัยรุ่นเที่ยวมันส์มาก เขาก็ทนได้นะ เขาก็อยู่ได้ ในช่วงที่หนูเหวี่ยงที่สุด ขึ้น ลงแบบรถไฟเหาะ อารมณ์ขึ้น ลง เขาก็อยู่ตรงนั้น หนูรู้สึกว่าถ้าเขาทนได้ขนาดนี้ก็ทนต่อไปนะ เพราะพ่อจะพูดตลอดเลยว่าปันปันคนอยู่ด้วยยากนะ เพราะว่าแกเป็นคนขี้เหวี่ยงมาก อารมณ์ขึ้น ลง มาก”
เราวางอนาคตกับคนคนนี้ไว้ยังไง? “เรา 25 เอง ยังไม่ขนาดนั้น แค่รู้สึกว่ายังเด็กอยู่เลย”
แล้วถ้าเราไปเรียนต่อล่ะ? “ไม่ไปเมืองนอกแล้ว ตอนนี้เรียนต่อแล้ว ตอนนี้ต่อ ป.โท แล้วตัดสินใจต่อที่ไทยไปเลย เพราะรู้สึกว่าถ้าเราไปเมืองนอกนาน หมายถึงละคร ซีรีส์ ที่ถ่ายอยู่มันต้องเว้นนาน ก็เลยคิดว่าอยู่ไทยต่อสะดวกกว่า”
ถ้าทิ้งเมืองไทยไป งานกับเขาให้กี่เปอร์เซ็นต์? “หนูว่าหนูต้องเลือกงานเยอะกว่านะ ให้งานอาจจะแบบ 70 เยอะไปไหม คือถ้าไปเมืองนอกแป๊บเดียว กลับมาเขาก็ยังอยู่ ถ้างานในวงการทิ้งไปนานเป็นปี สองปี มันไม่มีอะไรการันตี
ตอนเด็กๆ ถูกบูลลี่? “เหมือนเด็กๆ ย้ายโรงเรียนจากโรงเรียนไทยไปโรงเรียนอินเตอร์ แล้วเหมือนโดนบูลลี่ คือโรงเรียนไทยเขาจะใส่รองเท้าสีดำ ถือกระติกน้ำไปเรียน มีแก้วน้ำของตัวเอง โรงเรียนไทยๆ พอย้ายไปอินเตอร์ ตอน ม.2 ก็เป็นฟิวแบบใส่กระโปรงสก็อต รองเท้าอะไรก็ได้ เราไปเรียนวันแรกใส่รองเท้าสีดำ ถือกระติกน้ำ ก็เลยโดนเพื่อนบูลลี่ เหมือนตอนย้ายไปพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ด้วย แล้วโรงเรียนอินเตอร์จ๋า ทุกคนจะพูดภาษาอังกฤษกัน แล้วหนูก็จะพูดภาษาไทยกับคนอื่น เราพูดไม่ได้ เราตกใจ เขาจะช็อกมากๆ แรกๆ ก็เลยโดนบูลลี่”
ตอนแรกถอดใจไหม กลับไปอยู่ที่เดิมก็ได้? “ถอดใจ จำได้เลยว่าพอย้ายไปปุ๊บ 2 อาทิตย์แรกยังกลับไปสาธิตเกษตรอยู่เลย ยังไม่กล้าบอกเพื่อนเลยว่าย้ายโรงเรียนแล้วนะ คือเรากลับมาแล้วคิดว่าเอายังไงดี แม่ก็บอกว่าต้องย้าย แม่บอกว่าย้ายไปเถอะลูก ย้ายกันหมด เพราะพี่ชายพี่สาวก็ไปด้วย โดนบูลลี่ไป 1 ปี ก็อยู่อย่างนั้นไป พอเริ่มมีเพื่อน จับจุดได้เราก็อยู่ของเรา คนบูลลี่เขาคงเบื่อแล้วมั้ง เขาเลิกบูลลี่ไปเอง”
เราดูแลความรู้สึกเรายังไง? “กลับบ้านร้องไห้ บอกแม่ วันนี้เขามาดักที่หลังโรงเรียนนะก็โดน เล่าให้แม่ฟัง แม่ก็บอกไม่เป็นไรช่างมัน ให้ไปบอกครูไหม เราก็บอกไม่ต้องๆ แค่บอกให้แม่รู้แล้วกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น จริงๆ ถามว่าตอนนั้นแย่ไหม มันแย่ แต่ว่าพอเราได้คุยกับคนที่บ้าน ได้คุยกับผู้ใหญ่ ได้บอกให้เขารู้ แล้วเขารับรู้อย่างนี้ ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็ผ่านไปเอง แล้วเราก็เหมือนฮึบสู้ สู้ต่อไปแล้วมันก็ผ่านไปจริงๆ เหมือนคนก็จะเลิกยุ่งกับเราไป
ปันปันเข้าวงการตอนอายุเท่าไหร่? “เด็ก น่าจะประมาณ 4 ขวบ ฉายาตั้งแต่เด็กเลยก็คือ อีเด็กเปรต อันนี้หนูไปถามพี่เลี้ยงตัวเองที่พาไปแคสงานตอนเด็กๆ เราก็จะเจอช่างแต่งหน้า ช่างทำผมเยอะ แล้วปันเป็นคนซน อยู่ไม่นิ่ง พอไปแต่งหน้าก็จะดุกดิกตลอด กว่าเขาจะแต่งหน้าเสร็จต้องเอาคนมาจับหัว 3 คน ช่างแต่งหน้าก็จะเรียกว่า เด็กเปรตมาอีกแล้ว แต่เขาพูดเป็นมุขขำๆ แต่เหมือนหนูอาจจะจำฝังใจมา”
ทีมงานบอกว่าร้อนก็ไม่ทน? “ร้อนนี่ไม่ต้องห่วงเลยตั้งแต่เด็กจนตอนนี้ก็ไม่ทน ไม่ชอบอากาศร้อน ตอนหลังต้องพกพัดลมส่วนตัวเหมือนใส่ที่คอ พอเบรกปุ๊บทุกคนจะเดินมามัดผมให้ปันเลยแล้วเอาพัดลมมาเป่า เพราะเหงื่อจะออกเยอะมาก แล้วจะร้อน เป็นคนขี้ร้อน”
ตอนนี้ถ่ายหนัง ถ่ายซีรีส์ต้องมีห้องแอร์ให้เรา? “ตอนนี้โอเค พอโตมาเริ่มโอเค โตขึ้นมาเริ่มเบาลง สมัยก่อนร้อนมากคือเดินไปปิดไฟเลย”
แล้วที่ดึงสร้อยมุกขาดคืออะไร? “ตอนเด็กๆ มีงานหนึ่งที่เขาเอาสร้อยมุกที่มันรัดคอมากๆ มารัด แล้วเขาบอกว่าต้องใส่ หนูบอกว่ามันรัดมากเลย หนูก็อึดอัด หนูก็ดึงแล้วมันก็ขาดหมดเลย แล้วเป็นมุกแท้ด้วย หนูฉีกเลยตอนเด็กๆ พี่เขาก็กรี๊ดแล้วเก็บ เจ้าของสร้อยก็กรี๊ดอยู่ตรงนั้น”
ตอนนี้คือเปลี่ยนหมดแล้ว ที่เล่ามามันเป็นอดีต? “ตั้งแต่เด็กจนถึง 10-12 แต่ตอนนี้อายุ 25 ปีแล้ว ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองนิ่งขึ้น ถ้าร้อนทนได้ เอาพัดลมมาเป่าตัวเอง แอร์ไม่มีในที่ถ่าย เราก็เดินออกไปข้างนอก ไปพัด”
อะไรที่ทำให้เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิต? “เหมือนโตขึ้น แล้วพอเราเริ่มเรียนรู้ เริ่มทำงานกับคนเยอะขึ้น เราก็เข้าใจว่าการทำงานกับคนเยอะขึ้นเราจะมานึกถึงแต่ความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ เราก็ต้องคำนึงถึงคนอื่นบ้าง”
ปันปันลงรูปเซ็กซี่บ่อย พ่อ แม่ คุณแฟนว่ายังไง เขาห้ามไหม? “จริงๆ เวลาลงไปเราไม่ถามนะ คนแรกที่จะแคปมาคือแม่ แคปมาในกรุ๊ปครอบครัว ปันปันโป๊มาก สักพักพ่อจะตอบว่า อืม แต่หลังๆ เขาเลิกว่าแล้ว หนูอ่านแล้วไม่ตอบ”
แล้วแฟนล่ะ? “ไม่ว่า เป็นคนถ่าย คนที่ว่าคือแม่ แม่จะชอบอ้างว่าเนี่ยพ่อโกรธมากเลยนะที่เธอลงรูปแบบนี้ แต่จริงๆ พ่อไม่โกรธ แม่เอาพ่อมาอ้าง”
ชาวเน็ตจะมาโฟกัสที่หน้าอกของเรา เราติดไหมตรงนี้? “ไม่ติดนะ ก็คิดว่าร่างกายเรา หุ่นเราเป็นแบบนี้ ก็ไม่โป๊ดี”
ทีมงานบอกว่าอาจจะมีสิทธิ์ทำหน้าอกจริงไหม? “ไม่ทำๆ รู้สึกว่าโอเค ตอนนี้แฮปปี้ดีแล้ว หมายถึงแต่งตัวอะไรก็ดูไม่โป๊ หนูตัวขาวใส่อะไรมันจะดูโป๊ง่ายมากเลย สมมติว่าเราหน้าอกใหญ่ ก็จะดูโป๊ไปอีก ตอนนี้รู้สึกว่าเราใส่อะไรมาดูไม่ได้โป๊มาก”
ที่เขาไดเร็กต์โชว์เพื่อนสนิทของเราด้วย “ได้เร็กต์ไอจีมันจะมีเรนด้อมบ้าง วันดีคืนดีหนูก็จะกดเข้าไปดู ส่งรูปอะไรมา หรือพิมพ์ข้อความอนาจารก็มี เราก็บล็อกทิ้ง บางคนเขียนแบบอยากเลียจังเลย เราก็จะเห็นมันมีคนที่คุยกับตัวเองได้เนอะ หลังๆ หนูเข้าไปอ่านมันตลกดีเขาพิมพ์คนเดียวตอบคนเดียว หนูก็เอ็นดู สงสารปล่อยเขาพิมพ์ไป มันอาจจะเป็นความสุขของเขาก็ได้”
แล้วอันไหนที่เรารู้สึกว่าไม่ได้แล้ว ต้องดำเนินการทางกฎหมาย? “ไม่มีเลย รู้สึกว่าปล่อยเขาไป ไม่เป็นไรหรอก เราเป็นคนของสังคม เราเอาตัวมาอยู่ตรงนี้ ต้องมีอยู่แล้ว เราจะไปฟ้องทุกคนก็ไม่ได้”
ติดตามชมรายการคุยแซ่บShow ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 13.15 – 14.15 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama