ประวัติ “อรรถพล เจริญชันษา” อธิบดีกรมอุทยานฯ คนใหม่ ผู้มีบทบาทสำคัญ คดีปารีณาบุกรุกป่าราชบุรี
(26 ก.ย.66) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นชอบแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง 7 ตำแหน่งในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยตั้ง “อรรถพล เจริญชันษา” นั่งอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช แทน นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา ที่ยังอยู่ระหว่างตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรง
นายอรรถพล เจริญชันษา เกิดเมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2509 อายุ 57 ปี จบจากโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย จบปริญญาตรีที่ คณะวนศาสตร์ รุ่น 49 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปริญญาโท สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตร และสหกรณ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช รวมถึงผ่านหลักสูตรนักบริหารระดับสูง (นบส.1) สำนักงาน ก.พ.
ส่วนด้านการทำงาน นายอรรถพล เคยเป็นนักวิชาการป่าไม้ชำนาญพิเศษ สำนักงานป้องกันปราบปราม และควบคุมไฟป่า ต่อมาเป็นผู้อำนวยการสำนักป้องกันรักษาป่า และควบคุมไฟป่า จากนั้นเป็นผู้อำนวยการสำนักทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม จังหวัดสมุทรสงคราม ขึ้นเป็นรองอธิบดีกรมป่าไม้ จนเป็น อธิบดีกรมป่าไม้ ในปี 2561-2563
ต่อมาปี 2564 ได้ถูกโยกข้ามหน่วยงานเป็น อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งดำรงตำแหน่งได้ 1 ปี ก็มีคำสั่งแต่งตั้งเป็น อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในปี 2565 และล่าสุด ได้รับคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
โดยเมื่อปี 2562 นายอรรถพล ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมป่าไม้ มีบทบาทสำคัญในการปราบปรามขบวนการบุกรุกพื้นที่ป่า รวมทั้งคดีบุกรุกพื้นที่ สปก.ที่จังหวัดราชบุรี โดยน.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ สส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในขณะนั้น กระทั่งศาลฎีกามีคำสั่ง ให้ น.ส.ปารีณา ต้องหยุดปฎิบัติหน้าที่ สส. และโดนตัดสิทธิการเมือง
ซึ่งในระหว่างแถลงข่าวกรมป่าไม้ เตรียมแจ้งข้อหา น.ส.ปารีณา บุกรุกเขตป่าสงวนแห่งชาติ และป่าไม้จำนวน 46.1 ไร่ มีเหตุให้ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ เนื่องจาก นายทวี ไกรคุปต์ พ่อของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ เข้ามาแย่งไมค์จากมือของนายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมป่าไม้ และพยายามอธิบายแผนที่แนวเขตที่ใช้ตรวจสอบมาตราส่วน 1 ต่อ 400,000 ท่ามกลางความงุนงงของผู้บริหารกรมป่าไม้ และสื่อมวลชน
โดยโซเชียลได้พูดถึงกรณีที่ออกมาปกป้องลูกน้อง เมื่อมีข่าวว่าน.ส.ปารีณา ขู่ว่าจะฟ้อง โดยระบุว่า
“ไม่เป็นไร เป็นสิทธิ์ของท่าน ท่านจะฟ้องผมก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าจะฟ้องไม่ต้องฟ้องลูกน้อง ฟ้องผมคนเดียวก็พอ เพราะผมเป็นคนสั่งลูกน้อง ไม่ต้องฟ้องคนอื่น”