ประยุทธ์ ยกจีน เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ รอบด้าน หนึ่งใน ‘มหาอำนาจของโลก’

Home » ประยุทธ์ ยกจีน เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ รอบด้าน หนึ่งใน ‘มหาอำนาจของโลก’


ประยุทธ์ ยกจีน เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ รอบด้าน หนึ่งใน ‘มหาอำนาจของโลก’

นายกรัฐมนตรี ‘ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ โพสต์เฟซบุ๊ก ยกสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ แบบรอบด้าน และเป็นหนึ่งในชาติมหาอำนาจของโลก

เมื่อวันที่ 23 พ.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม โพสต์ข้อความยนเฟซบุ้คส่วนตัวว่า เมื่อวันที่ 22 พ.ย. ที่ผ่านมา ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 30 ปีความสัมพันธ์อาเซียน-จีน ผ่านระบบการประชุมทางไกล

โดยมี ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนฯ ในฐานะองค์ประธานอาเซียน เป็นประธานร่วมในการประชุมครั้งนี้ โดยประเทศจีนนั้น นอกจากจะเป็นหนึ่งในชาติมหาอำนาจของโลกแล้ว ยังเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์แบบรอบด้าน (Comprehensive Strategic Partnership) กับอาเซียน ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด เชื่อมโยงกันในทุกมิติ

เช่น ด้านเศรษฐกิจ ซึ่งจีนเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอาเซียนตั้งแต่ปี 2552 มีมูลค่าการลงทุน FDI ในอาเซียนเป็นอันดับ 4 และมีความร่วมมือกับอาเซียนผ่านข้อริเริ่ม Belt and Road Initiative (BRI) ในปี 2562 เป็นต้นมา ส่วนด้านสังคมและวัฒนธรรม จีนและอาเซียนก็มีความร่วมมือกันอย่างแน่นแฟ้น ทั้งด้านการศึกษา สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม รวมทั้งการพัฒนาชนบทและการขจัดความยากจน

นอกจากนี้ในระดับประชาชน มีการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างกันมากกว่า 65 ล้านคน ในปี 2562 ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มาเยือนอาเซียนมากที่สุดอันดับ 1 ก็คือชาวจีน ส่วนด้านความมั่นคงนั้น ที่ผ่านมาเกือบสองปี ประเทศสมาชิกอาเซียนและจีนต่างก็ต้องเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดโควิด และเกิดความร่วมมือ ช่วยเหลือกันอย่างเข้มแข็งแม้ในยามวิกฤต จีนเองได้บริจาควัคซีนจำนวนมากให้แก่ชาติสมาชิกอาเซียน

รวมไปถึงความร่วมมือกันจัดการกับวิกฤตที่กำลังคืบคลานเข้ามาเรื่อยๆอย่างปัญหาสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และภาวะโลกร้อน นอกจากนี้ ยังมีความละเอียดอ่อนในประเด็นทะเลจีนใต้ ที่อาจกระทบบรรยากาศการรักษาสันติภาพ เสถียรภาพ และดุลยภาพในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาอำนาจที่ต้องอาศัยการเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกันอีกด้วย

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในเวทีการประชุมครั้งนี้ ตนได้นำเสนอสปิริตแห่งความร่วมมือ ที่ควรเริ่มต้นจากการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาค บนพื้นฐานของหลักการ 3M คือ 1.ความไว้เนื้อเชื่อใจกัน (Mutual Trust) 2.ความเคารพซึ่งกันและกัน (Mutual Respect) และ 3.ผลประโยชน์ที่ได้ร่วมกัน (Mutual Benefit) เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดี เกื้อกูลไปสู่การขยายความร่วมมือในด้านอื่น ๆ ต่อไป สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ประเทศไทย มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ที่ประเทศไทยกำลังก้าวข้ามผ่านวิกฤตสู่ยุค Next Normal ด้วยการพลิกโฉมประเทศไทย

“ผมได้ประกาศประเด็นยุทธศาสตร์ที่ประเทศไทยมุ่งมั่นขับเคลื่อน 3 ประเด็นสำคัญคือ (1) การพัฒนาที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตามแนวทางหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งไทยและอาเซียนจะแลกเปลี่ยนความร่วมมือกับจีนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในทุกๆ ด้าน (2) การเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและสังคมจากฐานราก ด้วยการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสมและปลอดภัย เพื่อรับมือความเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลอย่างพลิกผัน

โดยอาเซียนและจีนจะต้องร่วมกันส่งเสริมเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล และ (3) การพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่ทั้งอาเซียนและจีนต้องร่วมมือกันในฐานะสมาชิกทวีปเอเชียและประชาคมโลก ซึ่งไทยจะยึดโมเดลเศรษฐกิจ BCG ในการมุ่งสู่การแก้ไขปัญหาสภาพอากาศ และเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะเห็นได้ว่า ไทย อาเซียน และจีน เป็นมหามิตรที่มีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนาน ประชาชนของแต่ละประเทศต่างผูกเชื่อมใจไว้ด้วยกันเช่นพี่น้อง ที่มีแต่ความปรารถนาดีซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือจุนเจือกัน ส่งเสริม แลกเปลี่ยนรอยยิ้มและมิตรภาพกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวด ผมจึงเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า แม้วิกฤตที่ผ่านมาแม้จะหนักหนาสาหัสเพียงใด

แต่ก็มิได้ทำให้สายใยแห่งสัมพันธ์ฉันพี่น้องนี้คลายลง กลับยิ่งทำให้เราต่างเห็นอกเห็นใจกัน เข้าใจกัน และร่วมกันจับมือก้าวข้ามอุปสรรคนี้ไปด้วยกัน ด้วยเจตนารมณ์อันแน่วแน่ในการร่วมพัฒนายกระดับให้บ้านเมืองของแต่ละประเทศและทั้งภูมิภาคนี้ให้เจริญก้าวหน้า ประชาชนอยู่ดีกินดี ไปด้วยกันอย่างมั่นคงและแข็งแรงต่อไป

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ