ปชป. เปิดนโยบายพลิกฟื้นกทม. “องอาจ” มั่นใจ “ชวน-บัญญัติ-มาร์ค” ผนึกกำลัง “จุรินทร์” สู้ศึกเลือกตั้ง นำปชป. สู่ชัยชนะ ยันปรับเขตกทม.ใหม่ไร้ปัญหา
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 22 มี.ค. 2566 ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค ดูแลกทม. นำทีมกทม. ทั้งนายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานคณะทำงานนโยบาย กทม. น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง กทม. และพล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตหลักสี่ พร้อมทีมผู้สมัคร ส.ส.กทม. และทีมยุทธศาสตร์ กทม. ร่วมกันเปิดนโยบาย กทม. พร้อมชม “Policy Exhibition”
นายองอาจ กล่าวว่า นโยบายของกรุงเทพฯ เดินตามนโยบายสร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ ที่เปิดรับฟังความเห็นจากประชาชน เชื่อว่าจะสามารถตอบโจทย์ของคนกทม. ในการขับเคลื่อนในเชิงโครงสร้างกทม. ให้ได้รับการแก้ไข พัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ยืนยันว่าพรรคมีความพร้อมทั้งบุคคลและนโยบาย ขอให้ช่วยสนับสนุนผู้สมัครจากพรรค โดยเลือกทั้งคนทั้งพรรค เพื่อนำนโยบายเหล่านี้ไปสู่การปฏิบัติ ขอให้เชื่อมั่นว่าพรรคพร้อมที่จะกลับมาเปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯ
ด้านนายสุชัชวีร์ กล่าวถึงนโยบายการสร้างคนว่า 4 ปีที่ผ่านมา กทม.ยังคงมีปัญหาฝุ่น PM 2.5 ยังอยู่ในภาวะรอจมน้ำทุกวัน มีความไม่เท่าเทียม รวมทั้งโอกาสเข้าถึงการศึกษา ขนส่งสาธารณะก็ยังมีปัญหา ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์ขอให้คำมั่นสัญญาว่า จะผลักดันกฎหมายอากาศสะอาด เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 และขอประกาศให้พื้นที่ 16 เขตชั้นในเป็นเขตมลพิษต่ำ ซึ่งมีโรงเรียนมากกว่า 300 แห่ง และโรงพยาบาลกว่า 40 แห่ง ให้เป็นพื้นที่ต้นแบบ และบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่อลุ่มอล่วย แต่ให้โบนัสกับผู้ที่ช่วยลดฝุ่นพิษ
นอกจากนั้น ยังมีนโยบาย “เดลต้า เวิร์ค ไทยแลนด์” กรุงเทพฯ ต้องไม่จมน้ำ ที่จะมาแก้ปัญหา ทั้งน้ำท่วม น้ำขัง น้ำหนุน โดยจะผลักดันให้มีการทำโครงการป้องกันน้ำทะเลหนุนครั้งแรกของกรุงเทพฯ บูรณาการระบบป้องกันน้ำท่วม โดยใช้ดาวเทียม ซึ่งโครงการนี้จะไม่ได้ช่วยแค่กรุงเทพฯ แต่จะช่วยในพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งหมดด้วย
โครงการเรียนฟรีถึงปริญญาตรี ไม่มีค่าหน่วยกิต พร้อมเริ่มทำทันที หากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยให้โอกาสนักเรียน นักศึกษา ได้ฝึกงานตั้งแต่อายุ 18 ปี ซึ่งจะสามารถผลิตนักศึกษาที่มีงานทำได้ 1 ล้านคนต่อปี เพิ่มเงินค่าครองชีพให้กับผู้กู้กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.) จากเดือนละ 3,000 บาท เป็น 6,000 บาท และมีอินเทอร์เน็ตฟรี 1 แสนจุดทั่วกทม. และอินเทอร์เน็ตฟรี 1 ล้านจุด จะเกิดขึ้นทันทีทั่วประเทศ
นายสุชัชวีร์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ พรรคสนับสนุนการเดินทางโดยขนส่งสาธารณะ เมื่อได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจะให้รัฐบาลซื้อตั๋วรถไฟฟ้าล่วงหน้า และนำส่วนต่างจากการลดราคามาให้กับประชาชน รวมถึงนโยบายนมโรงเรียนฟรี 365 วัน และนโยบายที่จะให้ประชาชนตรวจสุขภาพฟรี
ขณะที่ พล.ต.ต.วิชัย กล่าวถึงแนวนโยบายด้านการสร้างชาติว่า พรรคประชาธิปัตย์ ยึดนโยบายตาต่อตาฟันต่อฟัน “ไม่เอากัญชา ทำลายยาบ้า ยาเสพติด และทุจริตคือวิกฤตชาติ” ซึ่งเป็นบ่อเกิดของอาชญากรรมทุกประเภทถึง 80% รัฐบาลต้องเอาจริงเอาจัง เพิ่มอำนาจให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) ให้มีบทลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด พร้อมกับพัฒนาด้านการบำบัดรักษา ทำให้คนติดยาเสพติดน้อยลง รวมถึงเรื่องการทุจริต พรรคจะผลักดันให้มีการลงโทษสูงสุด คือ โทษประหารชีวิต กับการทุจริต เรียกรับผลประโยชน์
น.ส.วทันยา กล่าวถึงนโยบายสร้างเงินว่า โอกาสทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือ การเพิ่มประสิทธิภาพให้กับสินค้า และความคิดสร้างสรรค์ ด้วยนโยบายกองทุนไอเดีย 10,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 4 ส่วน เพื่อนำไปพัฒนาทุนมนุษย์ ทำมหาวิทยาลัยทุกช่วงวัย เพื่อเพิ่มทักษะให้กับนักศึกษา ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน ส่งออกวัฒนธรรมไทยผ่านอุตสาหกรรมบันเทิง เพื่อผลักดันให้อัตลักษณ์เหล่านี้ไปถึงสายตาชาวโลก ดึงนักวิจัยที่มีความรู้ความสามารถมาเป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษากับผู้ที่อยากลงทุน
น.ส.วทันยา กล่าวต่อว่า นโยบายแต้มต่อ SME 3 แสนล้านบาท โดยการเพิ่มผลผลิต SME สรรหาตลาดใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ การเปิดโอกาสให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างเท่าเทียม ทำให้วลี “รวยกระจุก จนกระจาย” เปลี่ยนเป็น “หยุดจน รวยกระจาย”
ทั้งนี้ นายองอาจ ให้สัมภาษณ์ถึงการแบ่งเขตเลือกตั้ง กทม. ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ที่เป็นปัญหา พรรคได้รับผลกระทบ เรื่องการจัดวางตัวผู้สมัครหรือไม่ ว่า พรรคไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก ได้ปรับเปลี่ยนเพียง 10% โดยปรับตัวผู้สมัครให้เหมาะสมกับเขตต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างลงตัว ขณะนี้พรรคพร้อมเข้าสู่กระบวนการต่างๆ ตามกฎหมาย แต่ไม่ต้องประกาศเปิดตัวผู้สมัครใหม่อีกรอบ
เมื่อถามกรณีอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ 3 คน ผนึกกำลังกับนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรค ร่วมสู้ศึกเลือกตั้ง ทำให้พรรคมั่นใจมากขึ้นหรือไม่ นายองอาจ กล่าวว่า อดีตหัวหน้าพรรคทั้ง 3 คนยังเป็นสมาชิกพรรค และหน้าที่ของสมาชิกพรรค คือ สนับสนุนการทำงานของพรรคอย่างเต็มกำลังความสามารถ ดังนั้น การเลือกตั้งจึงถือเป็นภารกิจสำคัญ ในการนำผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ไปทำงาน รับใช้ประชาชน นำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ เชื่อมั่นว่าอดีตหัวหน้า ทั้ง 3 คน พร้อมเข้ามามีส่วนร่วม ในการหาเสียงเลือกตั้งตามความถนัดของแต่ละคน
“เชื่อมั่นว่าสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ทุกคน ตั้งแต่หัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค ผู้สมัครทุกคน ตลอดจนอดีตหัวหน้าพรรคทุกคน ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีคุณค่า และมีความหมายสำหรับพรรค จึงเชื่อมั่นว่าเมื่อทุกคนรวมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว จะเป็นพลังที่สำคัญ ในการขับเคลื่อนให้พรรคประชาธิปัตย์เดินหน้าไปสู่ชัยชนะ ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่ใช่เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ แต่จะได้ชัยชนะทั้งประเทศ” นายองอาจ กล่าว