‘บิ๊กDGerrard’ฝันไกล เป็นอะไรก็ได้ถ้ามีความเชื่อ

Home » ‘บิ๊กDGerrard’ฝันไกล เป็นอะไรก็ได้ถ้ามีความเชื่อ


‘บิ๊กDGerrard’ฝันไกล เป็นอะไรก็ได้ถ้ามีความเชื่อ

‘บิ๊กDGerrard’ฝันไกลเป็นอะไรก็ได้ถ้ามีความเชื่อ – จากนักร้องแร็พเปอร์คนดัง ‘บิ๊ก D Gerrard’ หรือ ‘บิ๊ก’ อุกฤษ วิลลีย์ บรอด ดอนกาเบรียล ก็ได้สัมผัสความท้าทายใหม่กับการชิมลางงานแสดงในภาพยนตร์ “4KINGS” สวมบท ‘ทายาท สองใหม่’ หรือ ‘ยาท เด็กบ้าน’

วันนี้โอกาสดี ได้พูดคุยกับนักร้องหนุ่มถึงจุดเริ่มต้นที่หันมา จับงานการแสดง

จุดเริ่มต้นที่ทำให้มาเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ “4KINGS”?

บิ๊ก – “ดั้งเดิมผมอยากเป็นนักแสดงอยู่แล้ว เหมือนต่อยอดจากสิ่งที่ทำ จากที่เคยทำเพลงทำเอ็มวี คราวนี้ก็อยากจะเป็นนักแสดงด้วย เลยคิดว่าจะทำยังไง พอดีเลื่อนเฟซบุ๊กเจอการรับสมัครนักแสดงเพื่อมา แคสติ้งหนังเรื่องนี้พอดี เห็นปุ๊บ ส่งรูปตัวเองกวนๆ หน่อย ใส่เสื้อช็อป ถือไม้สนุ้กเกอร์ ส่งไปในเพจ แล้วทางเพจก็ติดต่อกลับมา ตอนแรกเหมือนเขายังไม่รู้ว่าเราคือ D Gerrard แต่พอดีมีคนที่ดูแลเพจรู้จักผม เลยบอกว่าคนนี้ D Gerrard ลองเอามาแคสต์ดูไหม พอมาแคสต์ปุ๊บก็เข้าตาพี่พุฒิ (พุฒิพงษ์ นาคทอง) ผู้กำกับฯ เลยบอกว่าเอาคนนี้แหละ”

เอาความมั่นอกมั่นใจมาจากไหนถึงคิดที่จะส่งตัวเองไปแคสต์เอง?

บิ๊ก – “เป็นความอยากมากกว่า ก่อนหน้านี้ที่ผมไปแข่งรายการ The X Factor Thailand จนมีชื่อเสียงขึ้นมาจากการร้องเพลง ตอนนั้นผมก็ส่งตัวเองไปเหมือนกัน เป็นความอยากที่อยากจะไปร้องเพลงให้คนอื่นฟัง พอมีโอกาสในเรื่องการแสดงเข้ามาก็เลยลองดู จริงๆ ต่อให้ไม่ใช่ “4KINGS” ผมก็ส่งตัวเองไปเหมือนกัน (หัวเราะ)”

ใน “4KINGS” รับบทเป็นใคร?

บิ๊ก – “ผมรับบท ยาท เด็กบ้าน ซึ่งเด็กบ้านในที่นี้คือเด็กที่ไม่ได้เรียนหนังสือ อยู่บ้าน อยู่ในถิ่นตัวเอง ก.ม.11 เราจะเป็นหัวหน้าคุมแถวนั้น เราจะต่างจากเด็กช่างตรงที่เด็กช่างจะมีสถาบัน เด็กบ้านไม่มี เนื่องจากเขาเป็นหัวหน้าแก๊งเลยต้องคุมลูกน้องให้ได้ เลยมีความเผด็จการ ชอบควบคุมคนอื่นเพื่อให้ทุกคนอยู่ใต้อาณัติ”

“คาแร็กเตอร์นี้ไกลตัวผมมาก โอเคผมอาจจะเคยมีเพื่อนสมัยวัยรุ่นที่เป็นแบบนี้ เลยเป็นความโชคดีที่ผมจำได้ว่าเพื่อนคนนี้ที่เป็นแบบนี้เขาเป็นยังไง ทุกครั้งที่จะแสดงบทนี้ผมจะนึกถึงเพื่อนคนนั้นก่อนเสมอ นึกถึงเวลามันด่าผม ความเหี้ยม ความรุนแรงของเขา ถ้าสังเกต D Gerrard จะทำแต่เพลงรัก มิติของผมคือจะเป็นเพลงโรแมนติก พอวันหนึ่งได้มาถ่ายทอดในอีกมุมหนึ่งซึ่งผมเชื่อว่ามันเป็นมุมที่ทุกคนมี เหมือนด้านมืดในจิตใจ ตรงนี้ก็เลยเป็นแค่การเอาส่วนหนึ่งของคนคนหนึ่งมาผสมกับส่วนหนึ่งที่ผมเป็นอยู่แล้วออกมาให้คนเห็น”

“เด็กบ้านเราจะอยู่กันแบบใจแลกใจ จะเป็นคนละแบบกับเด็กช่าง เนื่องจากมันมีเรื่องของความสีเทาสีดำเข้ามา ตัวเด็กบ้านเองพอเขาไม่ได้เรียนไม่ได้ทำอะไร สิ่งที่เขาคิดได้ก็จะเป็นแต่เรื่องที่ค่อนข้างจะเป็นอบายมุข ซึ่งก็จะมีการเล่นยาการขายยา ตัวละครยาทก็ต้องถ่ายทอดตรงนั้นออกมาด้วย มันจะมีอยู่ฉากหนึ่ง ด้วยตัวละครนี้เล่นยา แต่เวลาอยู่ในบ้านเมตตาไม่ได้เล่น ก็ต้องแสดงออกมาให้เห็นว่าคนของขาดจากการไม่ได้เล่นยาจะเป็นยังไง กระวนกระวาย กัดฟัน ผมต้องกัดฟันทั้งฉากจนปวดฟันเลยครับ (หัวเราะ) ผมทำการบ้านเยอะ เพราะมิติตัวละครเป็นอะไรที่สำคัญมาก ถ้าเราไม่เข้าใจจะถ่ายทอดออกมาไม่ได้”

ทำงานร่วมกับนักแสดงคนอื่นๆ เป็นอย่างไรบ้าง?

บิ๊ก – “แต่ละคนเก่งๆ ทั้งนั้น เราเป็นน้องใหม่ก็จริงแต่เราก็ต้องใจดีสู้เสือ ด้วยความที่เขาเป็นนักแสดงมาก่อน เราก็ต้องให้เกียรติพี่ๆ ทุกคน ผมเลยต้องทำการบ้านให้มากกว่าเขา แล้วต้องแสดงออกมาไม่ให้ดรอปจากสิ่งที่เขาเป็น ในเมื่อทุกคนทำงานกันอย่างเต็มที่แล้ว เราก็ต้องเต็มที่และให้ดีในระดับเดียวกับเขา ให้ได้”

ทุ่มเทฉากแอ๊กชั่น?

บิ๊ก – “ใช่ครับ พอมีคิวแอ๊กชั่นก็จะมีการซ้อมกันก่อนหน้านั้นหน่อย แล้วจะมาซ้อมกันในซีนจริงด้วย ค่อนข้างจะยืดหยุ่นแต่ว่าก็สมจริง”

“เรื่องเจ็บตัวไม่อยู่แล้ว แต่ผมเส้นยึดอ่ะครับ เพราะต้องโดนต่อยหลายๆ ทีแล้วต้องเอี้ยวตัวหลบตามหมัด บางทีเอี้ยวไม่ทันก็มี เฉียดปลายคางโดนบ้าง แต่คราวนี้มันมีฉากที่ผมต้องนอนอยู่บนพื้นแล้วโดนต่อยหลายที ผมก็เอี้ยวหลบไปเรื่อยๆ จนเส้นยึด คอเอียงขยับไม่ได้ร้องอ๊า! ออกมาเลย ผู้กำกับฯ แบบเอ้า! เป็นอะไร ผมก็บอกเส้นยึดๆ ขยับไม่ได้ (หัวเราะ) แต่ก็ถือว่าเป็นความสนุก เพราะถ้ามาถ่ายหนังแอ๊กชั่นแล้วไม่มีอะไรแบบนี้เกิดขึ้น ผมว่ามันไม่ใช่แล้ว”

คนที่เป็นแฟนเพลง D Gerrard ถ้าได้มาดูการแสดงของเราในหนังเรื่องนี้ คือจะเห็นความแตกต่างเลยใช่ไหม?

บิ๊ก – “ขนาดผมดูเองยังไม่เชื่อตัวเองเลยว่านี่ผมเหรอ ผมแอบถ่ายซีนที่ตัวเองเล่นเอาไปให้ญาติดู เขาดูแล้วนิ่งไม่พูดอะไร พอดูจบ ญาติผมถามว่าแล้วไหนพี่อ่ะ ไม่เห็นออกมาเลย ผมก็เอ้า! นี่ไง คนนี้ แสดงอยู่เนี่ย ขนาดญาติผมเองจำผม ไม่ได้เลย คือมันแตกต่างมาก ลุกส์ก็ต่างจากที่เป็นศิลปินแล้ว ไหนจะเป็นเรื่องลักษณะนิสัยคาแร็กเตอร์ด้วยที่ ยิ่งต่าง ผมว่าตรงนี้ เป็นข้อดีอย่างหนึ่งของผมที่คนไม่ได้ คาดหวังอะไรกับ ตัวเรา อย่างมากก็อ๋อ! เป็นศิลปิน ร้องเพลง แต่เขาไม่ได้คาดหวังเรื่องการแสดง แล้วพอเห็นว่าเราแสดงได้เขาก็เลยรู้สึกว่าใช่เหรอ ทำได้ด้วย เหรอ อะไรแบบนี้อ่ะครับ”

พอใจกับผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของตัวเองขนาดไหน?

บิ๊ก – “พอใจมากครับ ผมได้ทำเต็มที่แล้วในแบบที่ตัวเองคิด ถ้าให้คะแนนตัวเองเต็ม 10 คิดว่าให้ 9 ครับ อีก 1 คะแนนที่หักไปน่าจะเป็นในเรื่องการตัดของอารมณ์ คิดว่าถ้ามีเวลามากกว่านี้ผมจะทำให้มันคมได้มากกว่านี้ครับ”

ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทอดเรื่องราวความรุนแรงและอบายมุขต่างๆ เยอะ กลัวจะมีดราม่าอะไรไหม?

บิ๊ก – “ไม่กลัวเลยครับ คือหนังที่เรานำเสนอมันอยู่ที่เจตนาที่เราสร้างมันขึ้นมา เราอาจจะให้คนเห็นว่ามีการชกต่อยกันฆ่ากันทำโน่นทำนี่กันซึ่งมันรุนแรงมากในหนัง แต่จริงๆ แล้วมุมที่เราจะให้คนเห็นจะเป็นเรื่องของกระจกที่สะท้อนว่าเพราะเหตุใดเขาถึงต้องทำแบบนี้ ผมว่าตรงนี้สำคัญ แล้วถ้าเกิดคนดูเข้าใจหลังจากดูหนังจบว่าจริงๆ แล้วความรุนแรงพวกนั้นเป็นแค่การสร้างประเด็นให้คนถกเถียงกันมากกว่า จริงๆ แล้วเราอยากจะนำเสนอให้เห็นว่า สิ่งที่เราไม่เข้าใจมาตลอดเลยจากที่เห็นข่าวเด็กช่างตีกันว่าตีกันทำไม เราก็จะได้เห็นในมุมมองของเด็กช่างด้วยว่าเป็นเพราะอะไร ทุกอย่างมันมีปมที่ทำให้คนเหล่านี้เป็น ผมเชื่อว่าคนที่ได้เข้าไปดูหนังเรื่องนี้อาจจะมีมายด์เซ็ตที่มองกลุ่มเด็กกลุ่มนี้เปลี่ยนไปไม่มากก็น้อยครับ”

พอได้เล่นภาพยนตร์เรื่องแรกแล้วติดใจเลยไหม?

บิ๊ก – “ติดใจครับ อยากแสดงอีก ผมว่าการแสดงสนุกและท้าทายดี ผมอยากจะเล่นเป็นอะไรที่ หลุดโลก บทในฝันคือเล่นอะไรก็ได้ที่มันต้องโอเวอร์แอ๊กติ้ง อยากเล่นซิตคอมที่ตลกๆ มุขปั่นๆ เพราะจริงๆ ผมเป็นคนตลก แม้คนจะไม่ค่อยรู้ก็ตาม (หัวเราะ) ถ้าเกิดมีโอกาสก็อยากแสดงหนังตลกครับ”

เพื่อนๆ ในวงการเพลงว่ายังไงบ้าง?

บิ๊ก – “ตอนนี้ไม่เรียกผมว่า D Gerrard แล้ว เรียกว่าพี่ยาทๆๆ กันทั้งนั้น แล้วก็แซวว่าอย่างนี้ก็ไม่ได้ทำเพลงแล้วสิ ผมบอกเลยว่าทำเพลงทำเหมือนเดิม ถ้าการทำเพลงคือการหายใจ การแสดงก็อาจจะเป็นการกินน้ำก็ได้ อยากทำสองอย่างควบคู่กันไป”

มองตัวเองในเส้นทางของการแสดงหลังจากนี้ไว้อย่างไรบ้าง?

บิ๊ก – “ผมเป็นคนทะเยอทะยาน ขนาดเป็นศิลปินผมยังมองว่าผมอยากเป็นระดับโลกเลย การแสดงก็เหมือนกัน อยากไประดับโลก อยากเป็นนักแสดงที่ไปรับรางวัลในต่างประเทศแล้วมีคนภาคภูมิใจ บางคน อาจจะไม่ค่อยคุ้นชินที่ศิลปินนักร้องคนหนึ่งจะอยากเป็นนักแสดงด้วย แต่ผมมองว่าเราอยากเป็นอะไรก็ได้ถ้าเราเชื่อ แล้วเชื่ออย่างเดียวไม่พอ เราต้องหาวิธีทำให้มันเกิดขึ้นได้จริงด้วย”

“ผมเชื่อในเรื่องทักษะมากเลย ก่อนที่ผมจะมาเป็นนักร้อง เล่นกีตาร์ และเขียนเพลง ผมก็ฝึกฝนมาอย่างหนัก การแสดงก็เหมือนกัน ก่อนที่คนจะได้เห็นผมแสดง ผมก็ฝึกฝนการแสดงอย่างหนักในแบบของผมเอง ผมเป็นคนเรียนรู้อะไรด้วยตัวเอง ซึ่งผมมองว่าต่อให้ในอนาคตเรามีสิ่งที่อยากทำอีก ผมก็จะทำอีก ผมเป็นคนที่อยากทำได้ทุกอย่างเลยครับ”

นักแสดงในดวงใจ?

บิ๊ก – “ชอบโรบิน วิลเลียมส์, โรเบิร์ต เดอ นิโร, แบรด พิตต์ และ จอห์นนี่ เดปป์ ผมไม่ได้เจาะจงว่าดึงอะไรของใครมาใช้ แต่ผมจะเป็นคนที่เหมือนมันซึมเข้ามาเอง ถ้าเราได้ดูหนังดูการแสดงของคนเหล่านั้นบ่อยๆ แล้ววันหนึ่งเราได้เผชิญกับสถานการณ์ที่ คลับคล้ายคลับคลากับสิ่งที่เคยดูมา อยู่ๆ มันก็สามารถที่จะถ่ายทอดได้เลยครับ”

จุดร่วมของการเป็นนักร้องและ นักแสดงตรงไหนที่ลิงก์กันได้?

บิ๊ก – “ผมว่าเป็นเรื่องของอารมณ์ อย่างผมเป็นนักเขียนเพลงด้วย เวลาเขียนเพลงขึ้นมามันก็เหมือนการเขียนบทหนัง เราต้องเข้าใจมิติตัวละคร มิติของสิ่งที่เรากำลังจะเล่า จริงๆ การเขียนเพลงก็เหมือนการสร้างหนังเรื่องหนึ่ง เพราะเวลาผมเขียนเพลงผมจะเห็นเหมือนเป็นฉากเอ็มวีว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราถึงเขียนลงไปให้สอดคล้องกัน เพียงแต่การ ทำเพลงมันแค่ใส่เมโลดี้ลงไป ผมว่ามันเป็นแขนงเดียวกันเลยแหละในเรื่องของศิลปะ”

ชิมลางงานแสดงแล้วติดใจ แต่ยืนยันไม่ทิ้งงานเพลงใช่ไหม?

บิ๊ก – “ไม่ทิ้งแน่นอนครับ ตอนนี้ผมมีปล่อยเหมือนเป็น Trilogy Song Film ประมาณว่าผมทำหนังเพลงซึ่งจะมีเพลงนักวิทยาศาสตร์ โลกคู่ขนาน และเวทมนตร์ ปล่อยมาครบทั้ง 3 เพลงแล้ว อยากให้เพื่อนๆ ลองไปดูกัน คือมันเป็นเรื่องราวของวัฏจักรความรัก ในสิ่งที่มันเกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงจุดจบ”

“แล้วก็ล่าสุดมีเพลงที่ฟีเจอริ่งกับไททศมิตร ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ 4KINGS ชื่อว่าเพลง นักเลงเก่า ตอนนี้กำลังขึ้นเทรนดิ้ง ยังไงก็ฝากทุกคนไปลองฟังกันด้วยครับ”

จิรณัฏฐ์ จงประสพมงคล

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ