บอส โตนนท์ เล่าอดีตช่วงเป็นพระเอกดังช่องมากสี ยอมรับเคยติสต์ หลงตัวเอง ใช้เงินวันละล้าน โดนเม้าธ์เป็นอิสระไม่เปรี้ยง อึ้งเจอดาราใหม่ พูดต่อหน้า ดาราตกอับ
อดีตพระเอกช่องมากสี โตนนท์ วงศ์บุญ เปิดใจเคลียร์ข่าวเม้าธ์เป็นนักแสดงตกอับ หลังตัดสินใจออกมาเป็นนักแสดงอิสระแล้วไม่เปรี้ยง พร้อมย้อนเล่าจุดสูงสุดหลงตัวเองหนักมาก ใช้เงินซื้อของเกือบล้านบาท ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่อง วัน31 ที่มี พีเค ปิยะวัฒน์ และเบนซ์ พรชิตา เป็นพิธิกรดำเนินรายการ
ตอนนี้ออกมาเป็นอิสระ ดูแลตัวเอง ทำไมถึงตัดสินใจออกมา? บอส : “ที่ออกมาเป็นอิสระ ตอนช่วงที่เราอยู่สังกัดเก่าค่อนข้างจะรับงานเยอะ แล้วเจอเรื่องนู่นนี่นั่น มันทำให้เราเกิดความรู้สึกอึดอัด อยากจะลองอะไรใหม่ๆ ทำอะไรใหม่ๆ”
เรื่องนู่นนี่นั่นหมายถึงละครยากใช่ไหม? บอส : “ช่วงนั้นทางต้นสังกัดเขาให้งานเยอะ เยอะมาก เยอะจนไม่ได้พักเลยครับ 3 เดือน 6 เดือน ถ่ายละครทุกวัน อัดให้ๆ เราเลยรู้สึกว่ามันอยู่ตัว มันอิ่ม เมื่อก่อนถ่ายทีนึงข้ามไปอีกวันก็มี”
เพราะเราดังมีชื่อเสียงเป็นที่ต้องการของคนทั้งประเทศหรือเปล่าเขาถึงอัดให้ขนาดนั้น? บอส : “ผมว่าน่าจะเป็นช่วงมากกว่า ช่วงไหนมาเขาก็จะอัดงานให้เด็กคนนั้น ป้อนงานให้ เพราะจะให้เป็นที่รู้จัก”
แต่วันหนึ่งรู้สึกอิ่มตัวกับตรงนี้? บอส : “มันเป็นความติสต์ของผมมากกว่า เราทำงานเยอะแล้วอยากจะพักบ้าง”
ได้ถามเพื่อนถามผู้ใหญ่ถามครอบครัวไหม? บอส : “ไม่ได้ถามครับ เราเข้าไปที่ช่องตอนที่หมดสัญญา ผู้ใหญ่เขาบอกว่าจะเอายังไง จะเป็นอิสระหรือจะยังไง ซึ่งเขาให้ละครมาก่อนเรื่องนึง แต่เราปฏิเสธ”
เราสามารถบอกเขาเหลือ 2 เรื่องอย่างนี้ได้ไหม? บอส : “ตอนนั้นไม่ได้คิดครับ เด็กด้วย ช่วงที่เราเป็นวัยรุ่น เราหลงตัว คิดว่าตัวเองเก่ง เลือกได้ เราก็เลยขอหยุดดีกว่าพัก”
ถ้าสมมติย้อนกลับไปบอกตัวเองได้ ตอนนั้นที่เราฟุ้งหน่อย เรายังจะเลือกเป็นอิสระไหม? บอส : “ผมว่า ณ เวลาตอนนั้น เราคิดดีแล้ว ถ้าเกิดตอนนั้นเราทำอีกแบบผลที่เป็นปัจจุบันอาจจะเป็นอีกแบบหนึ่งก็ได้ ถ้าย้อนกลับไปผมก็อาจจะเลือกเหมือนเดิม”
ที่เราถ่ายละครเหนื่อยๆ แบบนั้นทั้งหมดกี่ปี? บอส : “เต็มสัญญา 7 ปี ยาวเลยครับ ต้องขอบคุณทางช่องเก่าที่ให้โอกาสเราเยอะมากครับ ถ้าไม่มีช่อง7 ก็ไม่มีผมวันนี้”
เป็นนักแสดงอิสระมา 5 ปี คนเม้าธ์กันว่าโตนนท์เป็นนักแสดงตกอับออกมาแล้วไม่เปรี้ยงไม่มีงานอยากจะบอกว่าไง? บอส : “ที่เขาบอกว่าไม่เปรี้ยงเนี่ย เหมือนเราไม่ได้เป็นตัวหลักมากกว่า เราไม่ได้เป็นพระเอกเหมือนเมื่อก่อนมากกว่า เราเลือกที่จะออกมารับบทอย่างอื่น เล่นร้าย มีงานหนึ่งเล่นเป็นพ่อแล้วก็มี คือเราอยากลอง จากเมื่อก่อนเราเล่นบทพระเอก เราเล่นจนมันชินแล้ว เป็นคนดี แต่พอวันหนึ่งเราได้เล่นเป็นตัวร้าย คือมันยาก”
เป็นพระเอกติดกันมา 7 ปีเบื่อไหม? บอส : “ณ เวลานั้นไม่เบื่อครับ ด้วยความที่มันพราว เราเป็นพระเอกทำอะไรก็ได้ แต่พอวันหนึ่งเราเริ่มเห็นคน เริ่มเห็นสังคม เห็นอะไรหลายๆ อย่าง ทำให้เราคิดว่าบางทีเราอาจจะหลง เราอาจจะผิดทาง เรารู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเรา”
รู้ได้ด้วยตัวเอง? บอส : “ครับ มันค่อยๆ มา”
นั่นคือหลายคนพูดว่าเราเป็นดาราตกอับ แต่ที่เราเสียใจคือมีคนในวงการพูดด้วย? บอส : “ห้องแต่งตัว แล้วก็นั่ง เดินเข้าเดินออก มีคนพูด เข้าไปก็ได้ยินพอดี เราก็นั่งข้างหลังใส่แมสก์ เขาบอก นี่เหรอโตนนท์ ดาราตกอับแล้ว เราได้ยิน เพราะเรานั่งใส่แมสก์อยู่ข้างหลัง”
คนนี้เป็นนักแสดงรุ่นใหญ่หรือยัง? บอส : “ไม่ครับ”
เป็นนักแสดงใหม่? บอส : “ใช่ครับ”
แล้วเราตอบว่า? บอส : “ไม่ตอบครับ เขาก็มีสิทธิ์ มันก็เป็นเรื่องจริงในส่วนหนึ่งที่เขาพูด เขาก็มีสิทธิ์ที่จะคิดของเขา เรารู้ตัวเราดีกว่า เราเอาคำที่เขาว่ามา…ไม่เอาแล้ว หางานทำดีกว่า”
โกรธไหม? บอส : “มันก็มีความรู้สึกครับ แต่ก็คิดว่าพูดจริง เอาคำพูดเขามาเป็นแรงผลักดันเรา เดี๋ยวจะกลับมานะ”
ถ้าเขาดูอยู่อยากจะบอกอะไรเขา? บอส : “ขอบคุณครับ บางทีถ้าเราโดนด่ามา หรือว่าเราโดนพูดอะไรไม่ดี เราเอาคำพวกนั้น แทนที่จะเอามาใส่หัวเราทำให้เรารู้สึกแย่ มันก็จะแย่กับตัวเรา เอาคำพูดตรงนั้นมาเป็นแรงผลักดัน เหมือนเราจะแบบ พอแล้ว จะเลิก ไม่เอาแล้ว จะไม่ทำแล้ว กลายเป็นว่าคนพูดแบบนั้นทำให้เรากลับมาได้ เดี๋ยวเจอกัน”
คิดว่าค้นพบสัจธรรมจากประโยคนี้? บอส : “ค้นพบครับ ทุกวงการแหละ มันมีคนที่ดีกับเรา หวังดีกับเราจริงๆ แต่เขาไม่ได้แสดงออกว่าดี เขาอาจจะด่าเราหรือพูดไม่ดี แต่บางคนพูดดีกับเรา แต่ลึกๆ แล้วไม่ดีก็มีครับ”
บอสบอกว่ามีช่วงติสต์ของผมด้วยมันติสต์ขนาดไหน? บอส : “มันก็เลือก ด้วยความที่เรารู้สึกเป็นพระเอก เลือกได้ อยากทำ อันนี้ไม่เอา อยากเลิกก็พอหยุด บางทีเขาให้ละครมา ไม่เอาไม่เล่น”
ไม่รับงาน 1 ปีเลยเหรอ? บอส : “มันจะมีอยู่ช่วงหนึ่งก่อนออก รู้สึกว่าตัวเรา อย่างที่มีข่าว เราเริ่มผอม คล้ำ เป็นโรคหรือเปล่า ไปทำอะไรมา ก็เลยรู้สึกว่าอยากพักก่อน อยากพักเรื่องความคิด อยากพักเรื่องสุขภาพร่างกายเราด้วย ขอหยุดแบบไม่ทำอะไรเลยปีนึง”
1 ปีนั้นเรียกว่าเป็นช่วงเวลาความติสต์ของเราได้ไหม? บอส : “ผมเรียกว่าช่วงเวลาตกผลึกดีกว่า”
ตอนนี้เราเลิกติสต์หรือยัง? บอส : “เลิกแล้วครับ เจอโควิดเข้าไปติสต์ไม่ออกเลยครับ คือก่อนที่จะโควิดเราเก็บเงินไว้ก้อนหนึ่ง กะจะลองทำอย่างอื่นบ้าง แต่พอโควิดเข้า เราคงทำไม่ได้แล้วล่ะ เอาเงินตรงนั้นเป็นค่าใช้จ่ายอย่างอื่นด้วย”
ความลำบากก่อนเข้าวงการลำบากมากหนึ่งในสาเหตุคือคุณพ่อเสีย? บอส : “ครับ ตอนนั้นผมอายุ 15 ปี พ่อเสียมอเตอร์ไซค์ล้มแกเป็นความดันแล้วดื่มแอลกอฮอล์ ยังไงไม่รู้แกขี่มอเตอร์ไซค์แล้วความดันขึ้นแล้วก็ล้ม แล้วไปที่โรงพยาบาล ยังโทรมาหาผมอยู่เลยนะ เราก็คิดว่าไม่เป็นไร แต่พอเราไปถึงโรงพยาบาลเขาปั๊มหัวใจแล้ว เราเข้าไปเห็นเลยว่าพ่อโดนปั๊ม”
พอไปถึงช็อกไหม? บอส : “ช็อก ภาพเดียวที่ผมจำได้คือเขาปั๊มหัวใจพ่ออยู่ เราเห็นรองเท้า แล้วเอารองเท้ามานั่งกอดอยู่หน้าห้อง หมอบอกว่าไม่ฟื้นแล้วล่ะ จะให้ปั๊มต่อไหมตอนนั้นช็อกแล้วครับ ทำอะไรไม่ถูกเลย ร้องไห้ ด้วยความที่เราเด็กด้วย ไม่รู้จะทำยังไง”
แล้วใครเป็นคนเคาะว่าปล่อยพ่อไป? บอส : “ไม่มีใครปล่อยครับ คือเราเห็นสภาพเลยว่าเขาไม่อยู่แล้ว”
หลังจากวันนั้นชีวิตเปลี่ยนไปเยอะแค่ไหน? บอส : “เปลี่ยนเลยครับ จากที่เมื่อก่อนพ่อหาเงินได้เยอะ เพราะเขาทำงานเร่งรัดหนี้สิน แล้วช่วงหลังจากต้มยำกุ้งผ่านมาคนเป็นหนี้สินเยอะ เขาได้เงินมาเยอะ ดูแลครอบครัวได้ดีในระดับหนึ่งเลย พอวันหนึ่งเสาหลักล้ม แม่ที่ไม่เคยทำงานก็ต้องออกมาทำงาน แล้วก็มีหนี้ ก่อนที่เขาจะเสียเขากู้เงินมาก้อนหนึ่ง เพื่อไปสร้างบ้าน”
หนี้ 13 ล้าน? บอส : “ครับ เยอะมาก ตอนนั้นหลักร้อยยังหาไม่ได้เลย มันเคว้งคว้างไปหมดเลย เราไม่รู้จะทำยังไง ไม่รู้จะเริ่มชีวิตยังไง ปกติเลิกเรียนกลับบ้านขอเงินแม่ ขอเงินพ่อไปเล่นเกม พอวันหนึ่งเราไม่มีคนสอน คนชี้นำ เราไม่รู้จะทำอะไรเลย ทำอะไรไม่ได้”
เห็นว่ามันแย่ขนาดที่ว่ามาม่าห่อหนึ่งต้องแบ่งกัน? บอส : “เอาผักกาดมาหั่นใส่น้ำปลา เอาเข้าไมโครเวฟกินกับข้าว บางทีมีมาม่าก็แบ่งกิน 2 คน”
อันนี้คือส่วนหนึ่งของ 13 ล้านที่กู้ไปใช่ไหม? บอส : “ด้วยครับ หลายคนจะบอกว่าเราเริ่มนับหนึ่งใหม่ แต่ตอนนั้นผมเป็นลบ13 หนักเลย”
ด้วยความลำบากอันนี้แต่ก็มีความโชคดีเพราะเราได้เจอกับพี่เอศุภชัย? บอส : “ครับ คือด้วยความที่เราไม่มีเงิน เราเริ่มหาเงินด้วยการไปประกวดตามเวทีต่างๆ เพื่อจะหาเงินมาจุนเจือแล้วใช้ในชีวิตประจำวัน แล้วเด็ก 15-16 ไม่รู้จะไปทำงานอะไร แล้วสมัยนั้นไม่มีอินเตอร์เน็ต เราไม่รู้จะไปสมัครอะไร ทางเดียวที่เราเห็นคือประกวดแล้วมันได้เงินเป็นก้อน แล้วก็ไปเจอกับพี่เอผู้มีพระคุณ เขาก็ชักชวนให้มาเก็บตัวอยู่ที่บ้านแกที่กรุงเทพฯ”
แล้วเจอพี่เอได้ไง? บอส : “ผมไปประกวดงานหนึ่งแล้วพี่เอเป็นกรรมการ”
เห็นแววตั้งแต่ตอนนั้น? บอส : “ใช่ครับ แรกๆ ก็ตัดสินใจอยู่นานเลย เพราะเราเด็กไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับวงการ”
หนีออกจากบ้านพี่เอ 2 รอบเลยเหรอ? บอส : “ครับ เหมือนเรามาอยู่แล้วเราไม่ได้ทำอะไร แต่พี่เอก็ให้ครูสอนแอ๊กติ้งเข้าไปสอนทุกอย่าง ยันเวลากินข้าวมารยาทอะไรอย่างนี้เขาก็สอน เราเป็นเด็ก ความคิดเราคือเรามาแล้วต้องได้ทำงานทันที เราต้องได้ละคร เพราะว่าเราต้องหาเงิน แต่พออยู่ๆ ไป ด้วยที่ว่าเราไม่เคยอยู่ในกฎเกณฑ์ เราเจอกฎเกณฑ์จากบ้านพี่เอ เขาจะมีกฎให้ระวังเด็ก เราเริ่มอึดอัดก็เลยหนีกลับ”
แต่ก็ยังกลับมา? บอส : “เขาโทรมาบอกว่ากลับมา พูดดีกับเรา ทำความเข้าใจ มาบอกแม่ แม่ก็มาบอกเรา เราก็เลยกลับ”
แล้วหนีกลับรอบ2 เพราะอะไร? บอส : “ก็เหมือนเดิม”
แต่รอบ2 เราก็กลับมาอีก? บอส : “ครับ”
อะไรทำให้เราอยู่? บอส : “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เราเริ่มเข้าใจชีวิตหรือเริ่มเข้าใจสิ่งที่พี่เอกำลังสอน? บอส : “คือเรากลับไปที่เชียงใหม่ไม่รู้จะทำอะไร ด้วยความเราเด็ก เราไม่รู้จะไปทำงานอะไร เราเห็นช่องทางตรงนี้เลยเกิด ฮึบ ลองอีกที แล้วกลับมารอบ2 ก็ได้งานจริงๆ”
ได้เงินเยอะวันหนึ่งช้อปปิ้งเป็นล้าน? บอส : “เป็นล้านคือไปซื้อมอเตอร์ไซค์ ไม่ใช่ซื้อกระเป๋า ซื้อเสื้อผ้า”
ซื้อมอเตอร์ไซค์ก่อนซื้อบ้าน ทำไมไม่ซื้อบ้านแล้วซื้อรถที่ขับไปทำงานได้ก่อน? บอส : “ผมทำงานในวงการแล้วมันได้เงินเยอะ ด้วยความที่เราไม่เคยมีเงิน เคยมีเงินติดตัวแค่หลักสิบ หลักร้อย วันหนึ่งเราได้มาเป็นแสนอย่างนี้ แล้วเรามีความฝันตอนเด็กๆ วันหนึ่งเราผ่านห้างที่เชียงใหม่ เราก็จะมอง มันจะมีรถอยู่คันนึง เรามองมันตั้งแต่เด็กแล้ว เราอยากได้ เราเห็นตั้งแต่เด็ก แล้ววันหนึ่งมันมีเพื่อนพาไปที่เต็นท์รถ แล้วเราเห็นเฮ้ยเนื้อคู่”
ฝากละครดงดอกไม้หน่อย? บอส : “ดงดอกไม้ เมื่อคืนโดนเทอาหารหมาไปแล้ว ขอฝากด้วยครับ เส้นทางจะเป็นยังไง จะร้ายอีกขนาดไหน ยังไงฝากด้วยครับ”
คลิปสัมภาษณ์ บอส โตนนท์