จากการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมสภาผู้แทนราษฎร 3 ฝ่าย ได้ข้อสรุปวันเวลาในการเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ว่าจะเปิดให้มีการอภิปราย 2 วัน ระหว่างวันที่ 17-18 กุมภาพันธ์ ใช้เวลารวมทั้งสิ้น 30 ชั่วโมง โดยจัดสรรเวลาให้ฝ่ายค้านเจ้าของญัตติได้อภิปราย 22 ชั่วโมง ฝ่ายรัฐบาลได้เวลาชี้แจงตอบคำถาม 8 ชั่วโมง

แม้การอภิปรายดังกล่าวจะไม่มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เนื่องจากไม่มีการลงมติเหมือนการอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 151 แต่การเปิดอภิปรายในขณะที่รัฐบาลกำลังประสบปัญหาบริหารประเทศล้มเหลว ผิดพลาดหลายด้าน รวมถึงความขัดแย้งทางการเมืองภายใน

จึงทำให้การอภิปรายครั้งนี้มีเนื้อหาเข้มข้นน่าติดตามอย่างมาก

เนื้อหาในญัตติฝ่ายค้านระบุถึงปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ การแพร่ของโรคโควิด -19 ปัญหาโรคระบาดในสัตว์ เชื้ออหิวาต์แอฟริกาในสุกร ปัญหาราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้น ปัญหาสิ่งแวดล้อม ฝุ่นพีเอ็ม 2.5 กรณีเหมืองทองอัครา ที่มีการนำทรัพยากร ธรรมชาติและเงินแผ่นดินไปแลกเปลี่ยนและใช้จ่ายเพื่อแก้ปัญหาการกระทำผิดพลาดของนายกรัฐมนตรี การแก้ปัญหาประมงที่ล้มเหลว ปัญหายาเสพติด

การปฏิรูปการเมืองที่ไม่คืบหน้า ปัญหาวิสัยทัศน์ผู้นำไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ทำให้ประเทศสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจมหาศาล การเลือกตั้งย้อนยุคสู่ระบบอุปถัมภ์และการใช้เงิน การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลที่ส่อทุจริตหลายเรื่อง

เหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศที่ต้องหาทางแก้ไขเร่งด่วนทั้งสิ้น

หมุดหมายการเปิดอภิปรายครั้งนี้ก็เพื่อให้ส.ส.ในฐานะผู้แทนราษฎร มีความใกล้ชิดกับประชาชน ได้ซักถามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพปัญหาและการหาแนวทางแก้ไขของคณะรัฐมนตรี
ตลอดจนร่วมกันหาข้อสรุปเสนอแนะต่อรัฐบาล

ทั้งนี้ เพื่อให้การบริหารงานราชการแผ่นดินของรัฐบาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แก้ไขปัญหาได้ตรงเป้าหมาย ทันท่วงที ซึ่งจะเกิดประโยชน์สูงสุดในการลดผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน

สิ่งที่สังคมคาดหวังจะได้เห็นจากการอภิปราย คือฝ่ายค้านใช้เวลาอย่างคุ้มค่า อภิปรายสิ่งที่เป็นประโยชน์โดยไม่มีวาระทางการเมืองอื่นแอบแฝง รัฐบาลก็ต้องชี้แจงตอบข้อซักถามให้กระจ่างชัด รวมถึงเปิดใจกว้างรับฟังข้อเสนอแนะ โดยไม่มีการประท้วงไร้สาระ ขัดจังหวะวุ่นวาย

เพื่อให้การอภิปรายเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ และประชาชน