ระหว่างวันที่ 14-19 พฤศจิกายนนี้ ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (Asia-Pacific Economic Cooperation : APEC) หรือเอเปค ครั้งที่ 29

เป็นผลสืบเนื่องจากนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แสดงความประสงค์ในเวทีการประชุมเอเปคครั้งที่ 20 ที่กรุงวลาดิวอสต็อก ประเทศสหพันธรัฐรัสเซีย เมื่อปี 2555

ครั้งนี้ มีระดับผู้นำเขตเศรษฐกิจที่เข้าร่วมการประชุมจำนวน 15 เขตเศรษฐกิจ รวมถึงนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน และอีก 6 เขตเศรษฐกิจส่งระดับผู้แทนมาร่วม

ได้แก่ รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา รองนายกรัฐมนตรีคนที่ 1 รัสเซีย นายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีมาเลเซีย รองประธานาธิบดีจากเปรู และเอกอัครราชทูตเม็กซิโกประจำประเทศไทย

แม้ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพการประชุมระดับโลกอีกครั้ง แต่ผู้นำเขตเศรษฐกิจที่มีความสำคัญของโลกอย่างสหรัฐและรัสเซียต่างกลับไม่ได้เดินทางมาร่วมด้วยตัวเอง

ส่วนหนึ่งอาจมาจากปัญหาทางการเมืองภายในประเทศนั้นๆ แต่ก็มีผู้วิพากษ์วิจารณ์ว่ามาจากความไม่เชี่ยวชาญด้านการเมืองระหว่างประเทศของไทยด้วยเช่นกัน

รวมถึงความไม่กว้างขวางในเวทีระดับโลกของผู้นำไทย ที่มีพื้นฐานจากนักการทหาร

ประเด็นต่างๆ เหล่านี้ เห็นได้จากการไปร่วมประชุมในเวทีนานาชาติของผู้นำประเทศคนปัจจุบัน หลายๆ ครั้ง จึงเป็นแค่การไปร่วมประชุมแล้วกลับ แต่ไม่มีการต่อยอดความร่วมมืออื่นๆ ตามมา

เอเปคคือเวทีแสวงหาความร่วมมือทางเศรษฐกิจของภูมิภาค เป้าหมายหลักคือการส่งเสริมการเปิดเสรีการค้าการลงทุน รวมถึงความร่วมมือในด้านมิติสังคมและการพัฒนาด้านอื่นๆ

ประกอบด้วย ความร่วมมือด้านการเกษตร การส่งเสริมบทบาทสตรี การลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ และการพัฒนาด้านสาธารณสุข เพื่อนำไปสู่การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุม ยั่งยืน และความมั่งคั่งของภูมิภาค

ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมเวทีนี้มาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรก พ.ศ.2535 สมัยนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ.2546 ที่นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี

ที่ผ่านมาแต่ละครั้งต่างก็มีผลลัพธ์สำคัญๆ ที่เป็นความร่วมมือด้านต่างๆ ระหว่างชาติสมาชิกตามมา จึงเป็นที่จับตาว่าครั้งที่ 3 นี้ที่ไทยเป็นเจ้าภาพอีกจะมีผลสรุปที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติขนาดไหน