หลังผ่านการเลือกตั้งนาน 8 วัน พรรคก้าวไกลรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลผสม 8 พรรค ประกอบด้วย พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างไทย พรรคเพื่อไทรวมพลัง พรรคเสรีรวมไทย พรรคเป็นธรรม และพรรคพลังสังคมใหม่ รวมทั้งสิ้น 313 เสียง
เกินจำนวนกึ่งหนึ่ง 250 เสียงของสภาผู้แทนราษฎร 500 เสียง ไปมากพอสมควร เดินหน้าสู่การจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพมั่นคง แต่ก็อยู่ห่างจากข้อครหา “เผด็จการรัฐสภา”
พรรคก้าวไกลในฐานะพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ยังได้ถือฤกษ์ 22 พฤษภาคม ตรงกับวันครบ 9 ปีการทำรัฐประหาร คสช.เมื่อปี 2557 ในการลงนามบันทึกความเข้าใจ หรือเอ็มโอยู ระหว่างพรรคก้าวไกล กับ 7 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล
กำหนดภารกิจรัฐบาลที่ทุกพรรคจะร่วมผลักดัน ประกอบด้วยวาระร่วม 25 ข้อ และ 5 แนวทางปฏิบัติร่วมกันบริหารประเทศ
ถึงจะสามารถรวบรวมเสียงได้เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนฯ ได้ แต่การไปต่อตามขั้นตอนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมร่วมรัฐสภา จำเป็นต้องได้เสียงสมาชิกสองสภา 376 เสียงขึ้นไป
ตรงนี้เองที่ต้องพึ่งพาเสียง ส.ว.อีกกว่า 60 เสียงในส่วนต่างที่เหลือ ในเบื้องต้นพรรคก้าวไกลพุ่งเป้าไปยัง 64 ส.ว.ที่เคยสนับสนุนกฎหมาย “ปิดสวิตช์ ส.ว.” ช่วงปี 2562-2565
รวมถึง ส.ว.อีกหลายคนที่เคยอ้างการโหวตสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ รอบปี 2562 ก็เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ได้รับการสนับสนุนจาก ส.ส.เสียงข้างมาก
ภายใต้หลักเหตุผลเดียวกัน ส.ว.จึงควรนำมาใช้ในการโหวตเลือกนายกฯ ที่ได้รับการสนับสนุนจากเสียงข้างมากของส.ส. หลังการเลือกตั้งปี 2566 ด้วยเช่นกัน
การบีบต้อนให้พรรคก้าวไกลต้องรวบรวม ส.ส.ให้ได้ 376 เสียงในการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อไม่ต้องพึ่งพาเสียง ส.ว.นั้น ยังขัดต่อหลักการตรวจสอบถ่วงดุล
เนื่องจาก 376 เสียงของรัฐบาล จะทำให้ฝ่ายค้านเหลือ ส.ส.เพียง 134 เสียง อ่อนแอ ไม่สามารถทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่สิ่งสำคัญที่สุด การเลือกตั้งคือกระบวนการตัดสินใจที่เป็นธรรมเท่าเทียมกันของประชาชนทุกกลุ่มความคิด เมื่อผลเลือกตั้งออกมา สิ่งที่ ส.ว.ควรกระทำคือสนับสนุนนายกฯ และรัฐบาลที่รวบรวมเสียงได้เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนฯ
เพราะนั่นคือเจตนารมณ์ประชาชนเสียงส่วนใหญ่ที่แสดงออกผ่านการลงคะแนนเลือกตั้ง 1 สิทธิ์ 1 เสียง
ไม่ว่าใครก็ตาม ใช้อำนาจของตนในทางขัดขวางเจตนารมณ์ของประชาชน บุคคลหรือกลุ่มบุคคลนั้น ย่อมเสี่ยงต่อการถูกชี้หน้ากล่าวโทษ เป็นผู้จุดไฟความขัดแย้งขึ้นในบ้านเมืองเสียเอง