เป็นอีกประเด็นดึงดูดให้การเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 น่าสนใจมากขึ้น กรณีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นำเอกสารหลักฐานกรณีทุนจีนสีเทา มอบให้นายรังสิมันต์ โรม และนางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล นำไปเป็นข้อมูลการอภิปรายที่กำลังจะมีขึ้นประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์
หลังเดินหน้าเปิดโปงเครือข่ายทุนจีนสีเทามาตลอด 3 เดือน นายชูวิทย์อ้างว่า ยังมีข้อมูลชุดสุดท้ายเหลืออีก 20 เปอร์เซ็นต์ เป็นข้อมูลยังไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน ถือเป็นไคลแมกซ์ของกลุ่มทุนจีนสีเทา เป็นข้อมูลสำคัญที่มอบให้ส.ส.พรรคก้าวไกลนำไปอภิปรายในสภา
ให้เห็นว่าเรื่องนี้เป็นอาชญากรรมข้ามชาติ เป็นคดีนอกราชอาณาจักรอย่างแท้จริง เกี่ยวพันโยงใยไปถึงหลายส่วน
นายรังสิมันต์ โรม ระบุว่า ประเด็นทุนจีนสีเทา พรรคก้าวไกลตั้งทีมศึกษารายละเอียดแล้ว จะทำเต็มที่ในการอภิปราย ขอให้ประธานและรองประธานสภาผู้ควบคุมการประชุมเห็นถึงความจำเป็นที่อาจต้องเอ่ยถึงบุคคลที่สาม
เนื่องจากประเด็นนี้เกี่ยวข้องคนจำนวนมาก แต่ในฐานะผู้อภิปรายจะทำให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด หากถูกฟ้องร้องภายหลังก็พร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพราะก่อนการอภิปรายเราตรวจสอบข้อมูลอย่างเต็มที่
ส่วนที่มีหลักฐานหลานชายนายกรัฐมนตรีมีส่วนเกี่ยวข้องทุนจีนสีเทา พรรคก้าวไกลจะติดตามเรื่องนี้เพื่อนำไปอภิปรายแน่นอน
เพราะไม่ว่าเรื่องตั๋วช้างหรือเรื่องขบวนการค้ามนุษย์ ต้องอาศัยพลเมืองดีนำข้อมูลมาให้ เพราะเราทำหน้าที่ในสภาไม่มีทางรู้ถึงการทุจริตในสังคมไทยมากเท่าคนที่อยู่ในระบบ
การอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 จุดประสงค์เพื่อให้ส.ส.ในฐานะผู้แทนประชาชนทำหน้าที่ซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐบาล โดยครั้งนี้เป็นการเปิดอภิปรายครั้งสุดท้ายก่อนปิดสมัยประชุมวันที่ 28 กุมภาพันธ์ และสภาครบวาระวันที่ 23 มีนาคม
พรรคฝ่ายค้านเปิดข้อสอบบางส่วนให้เห็น นายกฯ และคณะรัฐมนตรีก็ต้องทำการบ้านให้ละเอียด จะได้ตอบคำถามชี้แจงผ่านไปยังประชาชนที่เฝ้าติดตามการอภิปรายได้เข้าใจชัดเจน แม้ท้ายที่สุดการอภิปรายจะไม่มีการลงมติ แต่การทำหน้าที่ในสภาครั้งนี้ ฝ่ายค้านอภิปรายด้วยข้อมูลหลักฐานแน่นหนักขนาดไหน รัฐบาลชี้แจงชัดเจนตรงประเด็นหรือไม่
ทั้งหมดจะเป็นภาพจำสุดท้ายในใจประชาชน ซึ่งจะถูกนำไปเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงคะแนนในการเลือกตั้งที่ใกล้จะมีขึ้น