ทุกพรรคการเมืองเร่งปล่อยของกันอุตลุดในช่วงใกล้เข้าสู่โค้งสุดท้ายเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566
โดยเฉพาะนโยบายหาเสียงเรื่องค่าพลังงานไฟฟ้า ที่ส่งผลกระทบกับทุกครัวเรือน ด้านหนึ่งจึงเป็นโอกาสดีของบรรดาพรรคการเมืองที่จะได้แข่งขันกันแสดงวิสัยทัศน์แก้ปัญหาดังกล่าว
ช่วงหลายวันที่ผ่านมา สื่อหลายสำนักรวบรวมนโยบายลดราคาค่าไฟ ที่พรรคการเมืองใช้หาเสียงเลือกตั้ง พบส่วนใหญ่มีนโยบายไปในทิศทางเดียวกัน อาจต่างกันบ้างในรายละเอียด
พรรคก้าวไกล จะเปลี่ยนนโยบายจัดสรรก๊าซธรรมชาติ ลดค่าไฟ 70 สตางค์ต่อหน่วย เปลี่ยนแดดเป็นเงิน ปลดล็อกระบบขายไฟมิเตอร์หมุนกลับจากหลังคาบ้าน ให้ทุกบ้านติดโซลาร์เซลล์ได้ เปิดเสรีธุรกิจไฟฟ้า ลดต้นทุน ‘ค่าความพร้อมจ่าย’ ของโรงไฟฟ้าที่ไม่ได้เดินเครื่อง เป็นต้น
พรรคเพื่อไทย ใช้วิธีปรับลดราคาค่าไฟฟ้าตามต้นทุนราคาพลังงาน พัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตสอดคล้องกับปริมาณไฟฟ้าสำรองที่สั่งซื้อจากเอกชน เจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา เพื่อนำก๊าซธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ ส่งเสริมติดตั้งโซลาร์เซลล์ระดับครัวเรือน ให้ กฟผ.ผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ ลดต้นทุนการผลิต
พรรคพลังประชารัฐ ชูโครงการโซลาร์ประชารัฐ ส่งเสริมให้ผลิตไฟฟ้าใช้เองส่วนที่เหลือขายให้การไฟฟ้าฯ โครงการ 1 อบต. 1 โรงไฟฟ้า โครงการเปลี่ยนขยะพลาสติกเป็นน้ำมัน ปรับโครงสร้างพลังงาน
ซึ่งจะช่วยให้ราคาไฟฟ้าประเภทที่อยู่อาศัยลดลง 2.27 บาท ประชาชนจะได้ใช้ไฟฟ้าในราคา 2.50 บาทต่อหน่วย ส่วนภาคธุรกิจค่าไฟฟ้าจะลดลง 2.07 บาท คงเหลือเพียง 2.70 บาทต่อหน่วย
ยังมีพรรคภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ ไทยสร้างไทย ชาติพัฒนากล้า ฯลฯ ที่มุ่งเน้นนโยบายปรับรื้อโครงสร้าง สัญญาที่ไม่เป็นธรรม การใช้โซลาร์เซลล์ลดภาระค่าใช้จ่ายพลังงานไฟฟ้าให้ประชาชน
รวมถึงพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มีแนวคิดให้นำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปแบบเสรี กำหนดราคาค่าไฟฟ้าให้ผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร เพื่อแบ่งเบาภาระ ลดต้นทุน ให้อยู่ที่หน่วยละ 3.90 บาท จากปัจจุบัน 4.77 บาท
นโยบายทั้งหมดนี้ เพื่อให้ประชาชนใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ หากนโยบายพรรคใดโดนใจมากที่สุด ก็ลงคะแนนเลือกพรรคนั้น เป็นการประกวดวิสัยทัศน์ ต่อสู้เชิงนโยบายแบบแฟร์ๆ โดยประชาชนเป็นกรรมการตัดสินจะชูมือให้ใครเป็นผู้ชนะในยกสุดท้าย
ไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินทองซื้อเสียง ซึ่งเป็นวิธีผิดกฎหมายและผิดจริยธรรมทางการเมืองร้ายแรง มีโทษทั้งจำคุก และตัดสิทธิ์เลือกตั้ง 10 ปี