หลังเสียงระเบิดปิงปองดังขึ้นหน้ากรม ทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ภายในของสถานที่ดังกล่าวเป็นบ้านพัก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กลายเป็น เรื่องครึกโครม
เจ้าหน้าที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบกลุ่มผู้ต้องสงสัย 7 คน รถจักรยานยนต์ 3 คัน ขับขี่ผ่านมาแล้วเกิดเหตุ ต่อมาจับกุมผู้ต้องสงสัย 3 คน เป็นหนุ่มแร็พเปอร์อายุ 20 ปี กับแฟนสาว และ อีกคนเป็นเยาวชนผู้ชายอายุ 15 ปี
จากนั้นเจ้าหน้าที่นำตัวไปแยกสอบปากคำ แจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันกระทำให้เกิดระเบิด จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น หรือทรัพย์สินของผู้อื่น และพาอาวุธเข้าไปในเมืองฯ โดยไม่มีเหตุอันควร
ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ถูกนำตัวไปฝากขังต่อศาล คัดค้านประกันตัว หวั่นเกรงหลบหนี
คําร้องของเจ้าหน้าที่ยื่นฝากขังต่อศาล ระบุ ได้รับแจ้งเหตุระเบิดที่บ้านในย่านคลองเตย กทม. พบผู้ต้องหาบาดเจ็บจากระเบิด เมื่อตรวจค้น ภายในบ้านพบประทัด พลุควัน และระเบิดควัน
โดยเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ผู้ต้องหากับพวกไปร่วมชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา เมื่อเลิกชุมนุมขับขี่รถจักรยานยนต์ และเมื่อผ่าน บริเวณประตูกรมทหารราบที่ 1 ได้เกิดระเบิดขึ้น
ด้านผู้ต้องหายอมรับภาพรถจักรยานยนต์ ในกล้องวงจรปิดเป็นของกลุ่มตนเอง รวมทั้งไปร่วมชุมนุมทางการเมืองจริง และตระเวนสำรวจพื้นที่เพื่อเตรียมจัดกิจกรรมอีก
น่าขบคิดจากคำกล่าวของผู้ต้องหาระหว่างถูกนำไปฝากขัง คุกขังตัวได้ แต่ขังอุดมการณ์ไม่ได้
ต่อเรื่องที่เกิดขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ นายกฯ ระบุว่าได้รับรายงานมาตลอด กำลังตรวจสอบหาตัวคนขว้างระเบิด ก็คงเป็นกลุ่มเดิมๆ ไม่ควรทำ บ้านเมืองกำลังดีๆ อยู่ น่าสนใจคำพูดก็คงเป็นกลุ่มเดิมๆ จะนำไปสู่อะไรต่อหรือไม่
ส่วนเรื่องคดีนั้น เจ้าหน้าที่คงต้องสืบสวนสอบสวนต่อไป แต่ต้องเป็นไปอย่างละเอียด รอบคอบ และรัดกุม ว่าไปตามพยานหลักฐาน ที่ปรากฏ สามารถพิสูจน์ความผิด และผู้เกี่ยวข้องได้อย่างไม่ผิดคน
ขณะที่ระดับรัฐบาลก็ต้องตระหนักให้มากเช่นกัน เนื่องจากสถานที่เกิดเหตุ รวมถึงประวัติและพฤติการณ์ที่ผ่านมาของกลุ่มผู้ต้องสงสัย จึงไม่ใช่แค่อาชญากรรมปกติธรรมดา
แต่มีเรื่องทางความคิด อุดมการณ์ และความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรมต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย