สํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำลังตรวจสอบกรณีนายทุนต่างชาติเจ้าของสถานบริการบันเทิง บริจาคเงิน 3 ล้านบาทให้พรรคพลังประชารัฐ แกนนำพรรคร่วมรัฐบาล จะเป็นการกระทำนำไปสู่การยุบพรรคหรือไม่

หลังมีผู้ยื่นเรื่องให้ตรวจสอบ อ้างถึงพ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 44 ห้ามพรรคการเมืองรับเงินรับทอง หรือรับประโยชน์อื่นใดจากบุคคลที่สนับสนุนการทำลายความมั่นคง ทำลายเศรษฐกิจของชาติ และทำลายระบบราชการ

รวมถึงมาตรา 72 ห้ามพรรคการเมืองรับเงิน หรือทรัพย์สินประโยชน์อื่นใด โดยรู้ หรือควรรู้ว่าแหล่ง ที่มาไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมาตรา 74 ห้ามพรรคการเมืองรับเงินจากบุคคลที่ไม่ได้ถือสัญชาติไทย

หากมีมูลจะนำไปสู่การยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคต่อไป

นับตั้งแต่วิกฤตทางการเมือง มีข้อสงสัยกันไปทั่วว่า การยื่นเรื่องให้ยุบพรรคถูกนำมาเป็นเครื่องมือเพื่อขจัดฝ่ายตรงข้าม และพรรคการเมืองที่ได้รับความนิยมจากประชาชน

ดังเห็นได้จากหลังรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 ยุบพรรคไทยรักไทย ต่อเนื่องถึงพรรคพลังประชาชน และกลายเป็นพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน

หรือหลังรัฐประหาร 22 พ.ค.2557 ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ 2560 การยุบพรรคการเมืองก็ยังคงมี และเกิดข้อสังเกตว่า หรือเป็นเครื่องมือสำคัญของคณะรัฐประหาร และฝ่ายอนุรักษนิยมทางการเมือง

ในที่สุดนำไปสู่การยุบพรรคอนาคตใหม่พรรคการเมืองใหม่ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่

ต่อกรณีพรรคพลังประชารัฐที่ กกต.กำลังพิจารณาอยู่ขณะนี้ สังคมโดยรวมต่างก็ให้ความสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการรับเงินบริจาค เพราะกรณีนี้เคยมีพรรคการเมืองถูกยุบมาแล้ว

อย่างไรก็ตาม พรรคก้าวไกลที่ต่อเนื่องมาจากพรรคอนาคตใหม่ แม้จะอยู่ตรงข้ามกับพรรคพลังประชารัฐ แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรค ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม

เช่นเดียวกับ พรรคเพื่อไทยที่ผ่านการถูกยุบพรรคมาแล้ว 2 ครั้ง ต่างแสดงท่าทีไม่เห็นด้วย เช่นกัน ไม่เฉพาะบุคคลกระทบบุคคลในพรรคเท่านั้น แต่ยังกระทบไปถึงสมาชิกพรรคเป็นแสนเป็นล้านคนที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย

ทั้งที่จริงแล้วการจะอยู่หรือไปของพรรคการเมืองขึ้นอยู่กับประชาชนตัดสิน ไม่ใช่หน้าที่องค์กรใดชี้ขาด โดยเฉพาะองค์กรที่ไม่เชื่อมโยงกับประชาชน ซึ่งประเด็นนี้เป็นเรื่องหนึ่งในรัฐธรรมนูญที่เรียกร้องให้แก้ไข เพื่อหยุดทำลายพรรคการเมือง