บรรยากาศการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยของชาวต่างประเทศกลับมาคึกคัก หลังซบเซาไปนานเกือบ 3 ปี จากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19

โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือจีนแผ่นดินใหญ่ ตลาดท่องเที่ยวใหญ่ของไทยหวนคืนอีกครั้ง ในวันแรกเมื่อ 9 ม.ค.ที่ผ่านมา ตลอดทั้งวันเดินทางเข้ามา 15 เที่ยวบิน จำนวน 3,465 คน

คาดการณ์ตลอดทั้งปีชาวจีนจะเดินทางเข้ามาประมาณ 7-10 ล้านคน จากเดิมก่อนวิกฤตโควิดมีชาวจีนเข้ามา 20 ล้านคนต่อปี เช่นเดียวกับชาวต่างประเทศอื่นๆ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

เป็นสัญญาณที่ดีต่อภาคธุรกิจท่องเที่ยว รวมถึงธุรกิจแวดล้อมที่เกี่ยวเนื่องกัน คาดหวังว่าจะสร้างรายได้เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ

จากแนวโน้มเหล่านี้ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ เตรียมพิจารณาปรับตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพี ใหม่อีกครั้ง

เนื่องจากการเข้ามาของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มาเร็วกว่ากำหนด จากเดิมคาดการณ์ไว้จะเข้ามาช่วงครึ่งปี 2566 เป็นต้นไป ดังนั้นจึงต้องประเมินจีดีพีใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป

สภาพัฒน์ระบุว่าในปี 2566 การท่องเที่ยวจะมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีน

โดยในเบื้องต้นสภาพัฒน์ประเมินว่าจีดีพีจะขยายตัวระหว่าง 3-4 เปอร์เซ็นต์

แม้จะมีแนวโน้มดีต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แต่สังคมก็ยังมีความกังวลไม่น้อย เนื่องจากข้อมูลจากการแพร่ระบาดโควิดในจีนยังคลุมเครือไม่แน่นอน ทำให้หลายประเทศยังไม่มั่นใจ

ขณะที่รัฐบาลไทยยืนยันใช้มาตรการต่อชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศเหมือนกันหมด ไม่เลือกปฏิบัติเฉพาะแต่ชาวจีน ซึ่งขณะนี้มาตรการของไทยยกเลิกการตรวจใบรับรองวัคซีนป้องกันโควิดแล้ว แต่แนะนำให้ซื้อประกันสุขภาพ

ดังนั้น รัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข จะยังปล่อยปละละเลยมาตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ได้ หากเกิดการแพร่ระบาดใหญ่อีกครั้งจะสร้างความเสียหายต่อประเทศ และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

เพราะที่ผ่านมาประชาชนผ่านประสบการณ์ตรง มีบทเรียนจากการบริหารงานผิดพลาดของรัฐบาลมาแล้ว