ผลการลงมติในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลออกมาแล้ว โดยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีก 10 คนยังได้รับความไว้วางใจจากสภา
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้รับความไว้วางใจ 256 เสียงต่อ 206 เสียง และงดออกเสียง 9 เสียง ซึ่งไม่ใช่ได้คะแนนมากที่สุด
ขณะที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ได้รับคะแนนเสียงไว้วางใจน้อยที่สุด และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทยได้คะแนนไม่ไว้วางใจมากที่สุด
อันเป็นการลงมติขององค์ประชุมที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าร่วมประชุมแสดงตัวในจำนวนลดหลั่นกันไป
ก่อนการลงมตินั้น มีเรื่องอื้อฉาวที่ไม่ส่งผลดีต่อระบอบประชาธิปไตยต่างๆ นานา โดยเฉพาะจากสมาชิกกลุ่มพรรคเล็ก ที่ได้อานิสงส์จากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
มีการเจรจาต่อรองเรียกรับและแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทั้งทางด้านอามิสและยศถาบรรดาศักดิ์จากผู้มีอำนาจ จนมีหลักฐานแพร่ออกมาว่อนโซเชี่ยลมีเดีย
อันเป็นการเมืองแบบเก่าที่ย้อนกลับไปสู่วงจรน้ำเน่า เป็นที่น่ารังเกียจ ขยะแขยงเหมือนเช่นที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต และไม่ควรดำรงอยู่อีกแล้ว
สาเหตุสำคัญเพราะหลักเกณฑ์กติกาที่กลุ่มรัฐประหารสมคบคิด ร่างขึ้นมาเอื้ออำนวยให้การเมืองอ่อนแอ เพื่อจะได้สืบทอดอำนาจต่อไป
น่ายินดีที่การอภิปรายครั้งนี้ มีภาคประชาชน ตลอดจนนักวิชาการหลายภาคส่วนได้ร่วมกันติดตามและมีส่วนร่วมคู่ขนานกันไปในทั่วทุกภูมิภาค
ผลการลงมตินอกสภาปรากฏว่ามีเปอร์เซ็นต์ที่น่าตกใจ เพราะเป็นไปในทางเดียวกัน คือสวนทางกับมือในสภาอย่างชนิดพลิกฟ้าถล่มแผ่นดินคือไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีทั้ง 11 คน
สัญญาณจากประชาชนที่เกิดขึ้นครั้งนี้ มีนัยสำคัญต่อการดำรงอยู่ของรัฐบาลในปลายสมัย และดิ้นรนขวนขวายที่จะอยู่ในอำนาจต่อไปอีก
การเลือกตั้งใหญ่ครั้งต่อไป จึงไม่ง่ายเลยสำหรับพรรคแกนนำที่สนับสนุนผู้นำขณะนี้ รวมถึงพรรคร่วมรัฐบาลที่ยินยอมเป็นนั่งร้านให้สืบทอดอำนาจด้วย