กฎหมายกำหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกระดับว่า ต้องอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีในวันเลือกตั้ง มีสัญชาติไทย ได้สัญชาติไทยมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 90 วัน นับถึงวันเลือกตั้ง

อีกทั้งต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม คือ เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต นักบวช ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ต้องคุมขังโดยหมายของศาลหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย และวิกลจริต จิตฟั่นเฟือน หรือไม่สมประกอบ

หากไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และไม่แจ้งเหตุที่อาจไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง หรือแจ้งแล้วแต่เหตุนั้นไม่สมควร จะถูกจำกัดสิทธิ 5 ประการ ครั้งละ 2 ปี นับตั้งแต่วันเลือกตั้งครั้งที่ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงสิทธิพลเมือง ส่งเสริมให้ธำรงไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ

การเลือกตั้งทั่วไป ในวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566 นี้ มีข้อมูลว่าทั่วประเทศมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งสิ้น 52,287,045 คน เพศชาย 25,136,051 คน เพศหญิง 27,250,994 คน

กรุงเทพมหานคร มีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากที่สุด 4,469,280 คน จังหวัดนครราชสีมา มากเป็นลำดับที่สอง 2,124,587 คน อุบลราชธานี 1,477,644 คน และขอนแก่น 1,453,689 คน

เมื่อจำแนกตามช่วงอายุ พบว่าบุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 18-22 ปี ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรกในปีนี้ ทั่วประเทศมีจำนวนทั้งสิ้น 4,012,803 คน ขณะที่กลุ่มผู้สูงอายุตั้งแต่ 58 ปีขึ้นไป มีจำนวนทั้งสิ้น 14,378,037 คน

สำหรับผู้มีสิทธิเลือกตั้งกลุ่มใหญ่ที่น่าจะมีส่วนชี้ทิศทางการเมืองได้น่าจะอยู่ในช่วงอายุตั้งแต่ 23-57 ปี ซึ่งมีอยู่ประมาณกว่า 23 ล้านคน

การเลือกตั้งครั้งนี้ มีความสำคัญมาก หลังการเลือกตั้งปี 2562 ที่รัฐธรรมนูญออกแบบมาให้เอื้อต่อการสืบทอดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

ตลอดระยะ 4 ปีที่ผ่านมา แม้ว่ามีสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่อำนาจกลับถูกกดทับและบดบังด้วยวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร

การแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือการเสนอกฎหมายใดๆ เพื่อลบล้างบรรดาประกาศ คำสั่ง กฎหมาย และอำนาจของคณะรัฐประหารจึงถูกตีตกและขัดขวางโดยสมาชิกวุฒิสภามาตลอด

ดังนั้นการเลือกตั้งในครั้งนี้ ประชาชนจะต้องตระหนักว่าจะต้องกำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจเบ็ดเสร็จเลือกนายกรัฐมนตรีอย่างแท้จริง ขัดขวางไม่ให้วุฒิสมาชิกเข้ามาก้าวก่าย มีส่วนร่วมและแทรกแซงอีก