กรณีที่ประชุมสภาผู้แทนฯ ลงมติไม่เห็นด้วยกับร่างแก้ไขพ.ร.บ.สรรพสามิต หรือร่างกฎหมายสุราก้าวหน้า ซึ่งเสนอโดยพรรคก้าวไกล 196 ต่อ 194 คะแนน เฉือนกันแค่ 2 คะแนน

ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าคือ ภาพสะท้อนเกมชิงไหวชิงพริบการเมืองในสภาฯ ปกป้องผลประโยชน์กลุ่มทุนใหญ่ ใช่หรือไม่

ไม่ว่าประกาศกฎกระทรวงว่าด้วยการผลิตสุรา พ.ศ.2565 ตัดหน้าก่อนสภาพิจารณาร่างกฎหมายสุราก้าวหน้าแค่ 1 วัน ไม่ว่าการเปลี่ยนจุดยืนของส.ส.พรรครัฐบาล ซึ่งเคยอภิปรายสนับสนุนร่างกฎหมายนี้ในการพิจารณาวาระแรก

สอดรับความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ ผู้มีอำนาจเรียกหารือรัฐมนตรีแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ผ่านไปยังส.ส.ว่าจะให้ร่างกฎหมายสุราก้าวหน้าผ่านวาระ 2 และ 3 ไม่ได้เด็ดขาด

มีการตั้งข้อสังเกตเกมแตกหักในสภาโดยเฉพาะการไม่เข้าร่วมโหวตของส.ส.หลายคน รวมถึงส.ส.รัฐบาลที่เคยอภิปรายสนับสนุน ส่งผลให้การลงคะแนนรอบแรกฝ่ายค้านแพ้ไป 4 คะแนน

ต่อมาพรรคก้าวไกลอาศัยข้อบังคับขอให้ลงคะแนนใหม่ด้วยการขานชื่อรายบุคคล เพื่อให้ส.ส.ต้องเปิดหน้าขานชื่อตรงๆ จะได้รู้ว่าใครเห็นด้วย ใครไม่เห็นด้วย ใครเห็นแก่ผลประโยชน์ประชาชน ใครต้องการปกป้องผลประโยชน์นายทุนใหญ่

ในการลงคะแนนรอบสอง ฝ่ายรัฐบาลพยายามทำให้สภาล่ม ไม่เข้ามาแสดงตัวลงคะแนน แต่ต่อมาเมื่อเสียงฝ่ายเห็นด้วยเริ่มมากขึ้นและยังครบองค์ประชุม

จึงรีบระดมส.ส.กลับมาโหวตไม่เห็นด้วย จนเป็นเหตุการณ์ขานชื่อชุลมุน สับสนวุ่นวายอย่างที่เป็นข่าว

เป้าหมายร่างกฎหมายสุราก้าวหน้า คือปลดล็อกการผลิตสุราของรายย่อยและสุราชุมชน ส.ส.ฝ่ายค้านพรรคเพื่อไทย และก้าวไกล ลงมติเห็นด้วยไปในทางเดียวกัน

ส่วนกฎกระทรวงว่าด้วยการผลิตสุรา 2565 ที่ออกมาตัดหน้า แม้จะยกเลิกทุนจดทะเบียนขั้นต่ำและกำลังการผลิตในสุราบางประเภท แต่กลับเพิ่มเงื่อนไขในส่วนเครื่องจักรการผลิตและการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรืออีไอเอ ยังเป็นการกีดกันผู้ผลิตสุราและเบียร์รายย่อย

เมื่อโอกาสของชาวบ้านในด้านการผลิตสุราโดนล้มไป ประชาชนเหลือทางเลือกเดียวในการเลือกตั้ง ต้องกากบาทให้พรรคที่พร้อมขจัดความเหลื่อมล้ำ ทลายการผูกขาด สร้างความเจริญก้าวหน้าด้านเศรษฐกิจให้ประเทศ

ส่วนพรรคใดไม่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ ก็ต้องลงบัญชีไว้รอสะสางไปพร้อมกัน