ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน ต่อนโยบายต่อต้านคอร์รัปชั่นของพรรคการเมืองและนักการเมืองในการเลือกตั้ง 2566
พบว่าปัญหาสำคัญของประเทศที่ต้องแก้ไขมากที่สุดอันดับแรกคือ การทุจริตคอร์รัปชั่น ในสัดส่วนร้อยละ 25 รองลงมาด้านการศึกษาร้อยละ 14 ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมร้อยละ 13 ยาเสพติดร้อยละ 12 สังคมร้อยละ 12 เศรษฐกิจร้อยละ 11
ปัญหาคอร์รัปชั่น 3 ลำดับแรกที่ต้องการให้รัฐบาลเร่งจัดการคือ ปัญหาทุจริตในระบบราชการ กระบวนการยุติธรรม เงินบริจาคแก่สถาบันและศาสนา
ส่วนปัญหาคอร์รัปชั่นที่รัฐบาลใหม่ควรแก้ไขเร่งด่วนเป็นรูปธรรมคือ ควบคุม จัดการสมาชิกในรัฐบาล สมาชิกพรรคการเมืองเสียงข้างมากร่วมรัฐบาล ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชั่น
สิ่งบ่งชี้ว่านโยบายต่อต้านคอร์รัปชั่นสำคัญกับการเลือกตั้งครั้งนี้คือ ผลสำรวจที่พบร้อยละ 67 เห็นว่า นโยบายต่อต้านคอร์รัปชั่นของพรรคการเมืองและนักการเมือง มีผลต่อการตัดสินใจลงคะแนนเลือกตั้งมาก
ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการพรรคการเมืองหรือนักการเมืองที่มีความชัดเจนต่อนโยบายต่อต้านคอร์รัปชั่น ปฏิบัติได้จริง โปร่งใส สุจริตในการดำเนินงาน สามารถตรวจสอบได้ และช่วยแก้ไขวัฒนธรรมการทุจริตคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบ
น่าสนใจคือ จำนวนมากถึงร้อยละ 83.6 ระบุหากพรรคการเมืองใดไม่มีนโยบายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ก็จะไม่เลือกพรรคการเมืองนั้น เพราะต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงภาคการเมืองไทย
ขณะที่ร้อยละ 86.2 บอกว่าหากนักการเมืองมีการให้เงินซื้อเสียงเลือกตั้งก็จะไม่เลือกเช่นกัน
ผลสำรวจครั้งนี้ชี้ให้เห็น ประชาชนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับปัญหาคอร์รัปชั่นมากกว่าปัญหาด้านอื่นๆ ด้วยตระหนักว่าการคอร์รัปชั่นคือรากเหง้าของปัญหาทั้งหมดทั้งมวลในประเทศ
ในการเลือกตั้งที่ใกล้จะมาถึง ผลโพลดังกล่าวคือเสียงสะท้อนไปยังพรรคการเมืองทุกพรรค นักการเมืองทุกคนที่จะเข้าสู่สนามเลือกตั้ง
ได้รับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง ต้องการรัฐบาลใหม่ที่ซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใสตรวจสอบได้ เอาจริงเอาจังกับการปราบปรามการทุจริตโกงกิน ทั้งในแวดวงนักการเมือง ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐ
ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่ทุกพรรคการเมืองและนักการเมืองที่เสนอตัวให้ประชาชนเลือกเข้าสู่อำนาจ จะต้องชี้แจงกับประชาชนว่ามีนโยบายแก้ปัญหา และตอบสนองความต้องการของประชาชนที่สะท้อนออกมานี้อย่างไร