ประชาชนผจญกับภาวะข้าวยากหมากแพง ค่าครองชีพพุ่งทะยานอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด 4 สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่รายใหญ่ขึ้นราคาไข่ไก่อีกฟองละ 10 สตางค์ ส่งผลให้จากเดิมฟองละ 3.40 บาท เพิ่มเป็น 3.50 บาท
โดยให้เหตุผลเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาไข่ไก่ ให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิต เนื่องจากอาหารสัตว์ขึ้นราคา รวมถึงปริมาณผลผลิตที่เป็นผลจากการปลดแม่ไก่
ขณะที่รัฐบาล โดยกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ก็เห็นด้วยกับการขึ้นราคาไข่ไก่ อ้างเป็นราคาที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เป็นการขึ้นตามกลไกตลาด เนื่องจากปริมาณไข่ไก่ลดลง
นับตั้งแต่ต้นเดือนก.ค.จนถึง ณ ขณะนี้ ไข่ไก่ขึ้นราคาแล้ว 3 ครั้ง รวม 50 สตางค์ต่อฟอง
ก่อนหน้าไม่กี่วัน ก๊าซหุงต้มขึ้นราคาไปแล้วตามมติคณะรัฐมนตรี ประเภทถังขนาด 15 ก.ก. ขึ้นอีกถังละ 15 บาท จากเดิม 378 บาทต่อถัง เพิ่มเป็น 393 บาทต่อถัง
การขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม ตามด้วยไข่ไก่ สินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็นราคาถูกขั้นพื้นฐานจะส่งผลต่อไปถึงร้านข้าวแกง อาหารถุง อาหารตามสั่ง และร้านก๋วยเตี๋ยวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องปรับราคาขึ้นตามวัตถุดิบที่สูงขึ้น
ต่อไปจะถึงคิวค่าไฟฟ้า ซึ่งรัฐบาลเห็นชอบให้ปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ หรือค่าเอฟที งวดใหม่ช่วงเดือนก.ย.-ธ.ค.2565 รวมแล้วค่าไฟฟ้าฐานเฉลี่ยอยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย นับเป็นอัตราสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของค่าไฟฟ้าประเทศไทย
ทั้งหลายเหล่านี้ส่งผลให้ค่าครองชีพสูงขึ้น ซ้ำเติมประชาชนมากขึ้นไปอีก สวนทางกับรายได้ที่ไม่เพิ่มขึ้น
ขณะที่รัฐบาลยังไม่มีมาตรการ หรือวิสัยทัศน์อะไรใหม่ๆ มาแก้ปัญหาได้อย่างเห็นผล นอกจากอ้างเรื่องกลไกตลาด ราคาตลาดโลก ส่งผลให้ประชาชนต้องปากกัดตีนถีบกันต่อไป
การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เรื่องปากท้องประชาชน แตกต่างจากความพยายามของผู้มีอำนาจในรัฐบาล ที่เอาจริงเอาจังกับการแก้กฎหมายลูกเลือกตั้ง บัตรเลือกตั้ง และสูตรคำนวณส.ส. เพื่อเป็นกลไกได้เปรียบคู่แข่ง สืบทอดอยู่ในอำนาจอีกสมัย
รวมถึงความพยายามจัดสรรงบประมาณจำนวนมาก เพื่อจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ราคาแพง ดังที่ล่าสุดคณะกรรมาธิการร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ เห็นชอบให้จัดซื้อเครื่องบินรบเอฟ-35 จากสหรัฐอเมริกา
นี่คือสิ่งที่ประชาชนต้องเผชิญไปถึงปลายปี หรือต้นปีหน้า กว่าจะถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า ตัดสินรัฐบาลนี้ และเลือกรัฐบาลชุดใหม่